โดย ดร.ธนิต โสรัตน์

                รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

3 กุมภาพันธ์ 2554

 

                โครงการไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ (China City Complex) เป็นศูนย์ค้าส่งออกสินค้าที่จะสร้างขึ้น โดยจะเป็นศูนย์การค้าส่ง-ค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ภายใต้การลงทุนของนักธุรกิจจากประเทศจีน ซึ่งได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2554 เป็นอภิโปรเจกต์ด้านค้าส่ง-ค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สุดที่ต่างชาติลงทุนในประเทศไทย พื้นที่ของโครงการแบ่งเป็น 3 เฟส มีเนื้อที่ 2.0 ล้านตารางเมตร รองรับร้านค้าได้ 15,000 ร้าน ตามโครงการเมื่อเสร็จในกลางปี 2555 จะทำให้จ้างแรงงานไทยได้ 70,000 คน ประเด็นที่เป็นคำถามจะเกี่ยวกับ ผลกระทบที่จะมีต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคค้าส่ง-ค้าปลีกของไทยอย่างไร โครงการนี้เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง Yiwu International Trade City (เป็นกลุ่มทุนจากเมืองอี้อู ซึ่งอยู่ในมณฑลเจ้อเจียง ภาคตะวันออกของประเทศจีน) ร่วมกับ ”Yunnan-based Cultural Industry (Group) Investment”

                โครงการนี้เป็นการขยายการลงทุนในตลาดการค้าส่ง-ค้าปลีกของนักธุรกิจจากเมืองอี้อู (Yiwu) ประเทศจีน ซึ่งที่ประเทศจีนได้มีการเปิดไปแล้ว 4 แห่ง ล้วนเป็นโครงการขนาดใหญ่สำหรับประเทศไทย โดยแจ้งว่าเป็นการลงทุน 45,000 ล้านบาท หรือ 10,000 ล้านหยวน ซึ่งจะเป็นศูนย์การค้าปลีกและส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จีนได้มาลงทุนในต่างประเทศ โดยจะเป็นการจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากจีน ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ และเครื่องเรือนต่างๆ  จากข้อมูลจากประเทศจีน การก่อสร้างศูนย์พาณิชย์จะครอบคลุมพื้นที่ 700,000 ตารางเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2556  โดยจะสามารถดึงดูดผู้เช่าเชิงพาณิชย์จากประเทศจีนได้กว่า 70,000 ราย เป็นการกล่าวของนายดง หงจี ประธานบริษัท Yunnan-based Ashima Cultural Industry (Group) Investment  หรือ “อาชิม่ากรุ๊ป”  นอกจากนี้ นายหยาง ฟางซู ประธานสมาคม ASEAN-China Economic and Trade Promotion ได้กล่าวว่า “นอกจากโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยแล้วนั้น ผู้ส่งออกของประเทศจีนยังสามารถสนับสนุนสินค้าของพวกเขาให้มีการพัฒนาตลาดขึ้น เช่น ตลาดสหภาพยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านทางโครงการนี้”  และการเพิ่มแรงดึงดูดนักลงทุนชาวจีนต่อการค้าแบบทวิภาคีกับประเทศไทยที่ไม่มีการจัดเก็บภาษี และมีภาษีต่ำเมื่อค้าขายกับประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้ว โครงการนี้เป็นผลพวงจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีใหม่ ระหว่างประเทศจีนและกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ซึ่งมีผลไปตั้งแต่ 1 มกราคม 2553   คาดว่าปริมาณการค้าขายในเขตการค้าเสรี (Free Zone) มีมูลค่าถึง 161 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  ทั้งนี้ ปริมาณการค้าระหว่างประเทศจีนและกลุ่มประเทศอาเซียนถูกตั้งเป้าไว้ที่มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ.2558

 

ความกังวลของภาคเอกชนไทยที่มีต่อโครงการ

ความกังวลของผู้ค้าส่ง-ปลีกไทยที่มีต่อโครงการนี้ เนื่องจากเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าสินค้าของจีนราคาถูก กลุ่มที่จะกระทบก็จะขยายวงกว้างโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยไม่สามารถแข่งขันในเชิงราคากับสินค้าจีนได้ ในการพิจารณาประเด็นในเรื่องนี้จึงต้องมีความรอบคอบ เนื่องจากมีผู้ที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสายงานเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการ โดยได้นำผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์  พลบุตร) เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2554 โดยได้นำเสนอข้อวิตกกังวลของประเด็นที่อาจจะกระทบต่อการค้าส่ง-ค้าปลีกต่อการทุ่มตลาดของสินค้าราคาถูกของจีน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อศูนย์การค้าของไทย เช่น ประตูน้ำ ตลาดโบ้เบ๊ ฯลฯ  ในกรณีนี้ กลุ่มองค์กรที่ได้เข้าร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมฯ สมาคมการค้าส่ง-ค้าปลีกไทย, สมาพันธ์ธุรกิจไลฟ์สไตล์, สมาคมอุตสาหกรรมของเล่นไทย, สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเรือนไทย, สมาคมผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ทดแทน, สมาคมสินค้าตกแต่งบ้านและสมาคมของขวัญของชำร่วยไทย  ซึ่งทางผู้ประกอบการไทยทราบดีว่าภายใต้ข้อตกลง FTA อาเซียน-จีน ไม่สามารถห้ามต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ และไม่สามารถปิดกั้นการเคลื่อนย้ายสินค้าจากจีนสู่ประเทศไทยได้

 

ประเด็นที่ภาคเอกชนนำเสนอให้ภาครัฐพิจารณา

1. ความวิตกกังวลต่อการสัมภาษณ์ของจีนที่จะให้ไทยเป็นฐานการกระจายสินค้า จากการสัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชลของนายดง หงจี ซึ่งเป็นประธานอาชิม่า กรุ๊ป ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศจีนเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 ได้กล่าวถึงว่า จะใช้ศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้เป็นศูนย์ Re-export สินค้าไปยังประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้ถูกกีดกันเหมือนการส่งออกจากประเทศจีน และสินค้าที่จำหน่ายในศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้ จะเป็นสินค้า Chinese Made โดยเฉพาะสินค้าประเภทเสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องเรือน และของใช้ในบ้าน โดยผู้เช่าจะมาจากจีนกว่า 70,000 ร้าน

อีกทั้งการสัมภาษณ์ของของนายหยาง  ฟางซู ประธานสมาคม ASEAN-China Economic and Trade Promotion  ได้กล่าวถึงว่า จะเป็นการส่งเสริมผู้ส่งออกของจีนในการที่จะใช้ประโยชน์จาก FTA อาเซียน-จีน ซึ่งไม่มีการจัดเก็บภาษี และมีภาษีต่ำเมื่อค้าขายกับประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้ว โดยถือว่าเป็นโอกาสของนักธุรกิจที่จะใช้ประโยชน์ของศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้ (ซึ่งต่างกับการให้สัมภาษณ์ของภาครัฐไทย ว่าเป็นโครงการส่งเสริมการค้าไทยและจีน)

                2. ภาคเอกชนเสนอว่า หากรัฐเจรจากับนักธุรกิจจีนที่จะจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการไทย ซึ่งแต่เดิมกำหนดพื้นที่ไว้เพียง 30%  ประเด็นคือ ศูนย์การค้าของจีนสามารถกำหนดสัดส่วนของคนไทยที่จะเข้าไปเช่าร้านค้าเหล่านี้ได้หรือไม่ เพราะตามกฎหมายธุรกิจการค้าปลีกยังคงถูกสงวนไว้  ไม่ใช่ว่าผู้ค้ารายย่อยจะมาเปิดร้านได้  ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ

                                (1) กฎหมายไทยมีความยืดหยุ่นที่จะให้ผู้ค้ารายย่อย ปลีก-ส่ง (รายย่อยจากต่างชาติ) สามารถดำเนินธุรกิจเปิดร้านค้าส่ง-ปลีกในประเทศไทยได้อย่างเสรี

                                (2) ผู้ประกอบการจีนสามารถขอ Work Permit เข้ามาทำธุรกิจการค้าส่ง-ค้าปลีก เปิดร้านค้าย่อยในศูนย์การค้าแห่งนี้ได้หรือไม่

                                (3) ลูกจ้างที่จะมาเป็นผู้ขายในศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้ในแต่ละร้าน ถึงแม้ว่าเจ้าของร้านจะเป็นชาวจีน ลูกจ้างในร้านจะเป็นชาวจีนได้หรือไม่ ถ้าได้ จะขอ Work Permit ในฐานะอะไร

                                (4) ศูนย์ค้าสินค้าไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของเอกชนจีน  คงทำได้เหมือน Tesco Lotus หรือ Big C แต่ห้างเหล่านั้นก็ไม่มีการมาปิดกั้นสัดส่วนของร้านค้าย่อย ว่าจะให้ผู้ประกอบการจากประเทศตนเป็นสัดส่วนเท่าใด ซึ่งต่างจากผู้ประกอบการของจีนสามารถกำหนดสัดส่วนได้ ซึ่งเป็นคำถามว่า ได้ใช้กฎหมายข้อใดเป็นตัวกำหนด

                3. กระทรวงพาณิชย์จะต้องมีความเข้มงวดในการบังคับกฎหมายสำหรับการค้าปลีก-ค้าส่ง รวมถึงการนำกฎหมายทุ่มตลาดของจีนที่จะเข้ามาขายในศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้ รวมถึงกำหนดมาตรฐานและคุณภาพสินค้า  โดยการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) เพื่อไม่ให้ประเทศจีนใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกสินค้า Made in China  แต่ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเป็น Made in Thailand ซึ่งจะส่งผลต่อการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย และความน่าเชื่อถือของคุณภาพสินค้า

                4. สภาอุตสาหกรรมเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ จัดตั้งคณะทำงานติดตามผลกระทบที่จะมีต่อภาคการค้าส่ง-ปลีก และการผลิต โดยเฉพาะ SMEs และโอกาสการต่อยอดธุรกิจ โดยการนำศูนย์ค้าสินค้าของประเทศจีนที่จะสร้างขึ้นให้เป็นศูนย์กระจายสินค้าของ Made in Thailand ไม่ใช่แต่เพียงจำหน่ายสินค้า Made in China

                5. ขอให้กรมศุลกากรมีความเข้มงวดตรวจสอบสินค้าที่จะนำมาจำหน่ายภายในศูนย์การค้า ซึ่งจะต้องผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้อง สินค้าทุกรายการจะต้องมี Invoice และใบขนสินค้าที่ตรงกับ    Form E ซึ่งเป็นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจีน ในการที่จะใช้ภาษีอัตรา 0% และต้องตรวจสอบราคาสินค้าตามเอกสารวาถูกต้องตรงกับที่มีการโอนเงินเข้า-ออกเพื่อเป็นการป้องกันการลักลอบการนำเข้าโดยไม่ถูกกฎหมาย

                6. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ “ตม.” จะต้องมีความเข้มงวดตรวจสอบผู้ประกอบการจีนและพนักงานขายของว่าเข้ามาและถือวีซ่าในฐานะนักท่องเที่ยว โดยที่ไม่มี Work Permit ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยและการจ้างงานคนไทย

                7. กระทรวงพาณิชย์จะต้องตรวจสอบทะเบียนร้านค้าว่ามีการขออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทยหรือไม่ หากไม่ถูกต้อง จะต้องมีการจัดการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

" />
       
 

บทความพิเศษ โครงการไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ ยุทธศาสตร์การรุกของจีนสู่ประเทศไทย Share


โดย ดร.ธนิต โสรัตน์

                รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

3 กุมภาพันธ์ 2554

 

                โครงการไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ (China City Complex) เป็นศูนย์ค้าส่งออกสินค้าที่จะสร้างขึ้น โดยจะเป็นศูนย์การค้าส่ง-ค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ภายใต้การลงทุนของนักธุรกิจจากประเทศจีน ซึ่งได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2554 เป็นอภิโปรเจกต์ด้านค้าส่ง-ค้าปลีกขนาดใหญ่ที่สุดที่ต่างชาติลงทุนในประเทศไทย พื้นที่ของโครงการแบ่งเป็น 3 เฟส มีเนื้อที่ 2.0 ล้านตารางเมตร รองรับร้านค้าได้ 15,000 ร้าน ตามโครงการเมื่อเสร็จในกลางปี 2555 จะทำให้จ้างแรงงานไทยได้ 70,000 คน ประเด็นที่เป็นคำถามจะเกี่ยวกับ ผลกระทบที่จะมีต่อภาคอุตสาหกรรมและภาคค้าส่ง-ค้าปลีกของไทยอย่างไร โครงการนี้เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง Yiwu International Trade City (เป็นกลุ่มทุนจากเมืองอี้อู ซึ่งอยู่ในมณฑลเจ้อเจียง ภาคตะวันออกของประเทศจีน) ร่วมกับ ”Yunnan-based Cultural Industry (Group) Investment”

                โครงการนี้เป็นการขยายการลงทุนในตลาดการค้าส่ง-ค้าปลีกของนักธุรกิจจากเมืองอี้อู (Yiwu) ประเทศจีน ซึ่งที่ประเทศจีนได้มีการเปิดไปแล้ว 4 แห่ง ล้วนเป็นโครงการขนาดใหญ่สำหรับประเทศไทย โดยแจ้งว่าเป็นการลงทุน 45,000 ล้านบาท หรือ 10,000 ล้านหยวน ซึ่งจะเป็นศูนย์การค้าปลีกและส่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่จีนได้มาลงทุนในต่างประเทศ โดยจะเป็นการจำหน่ายสินค้าที่ผลิตจากจีน ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ และเครื่องเรือนต่างๆ  จากข้อมูลจากประเทศจีน การก่อสร้างศูนย์พาณิชย์จะครอบคลุมพื้นที่ 700,000 ตารางเมตร คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีพ.ศ. 2556  โดยจะสามารถดึงดูดผู้เช่าเชิงพาณิชย์จากประเทศจีนได้กว่า 70,000 ราย เป็นการกล่าวของนายดง หงจี ประธานบริษัท Yunnan-based Ashima Cultural Industry (Group) Investment  หรือ “อาชิม่ากรุ๊ป”  นอกจากนี้ นายหยาง ฟางซู ประธานสมาคม ASEAN-China Economic and Trade Promotion ได้กล่าวว่า “นอกจากโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทยแล้วนั้น ผู้ส่งออกของประเทศจีนยังสามารถสนับสนุนสินค้าของพวกเขาให้มีการพัฒนาตลาดขึ้น เช่น ตลาดสหภาพยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาผ่านทางโครงการนี้”  และการเพิ่มแรงดึงดูดนักลงทุนชาวจีนต่อการค้าแบบทวิภาคีกับประเทศไทยที่ไม่มีการจัดเก็บภาษี และมีภาษีต่ำเมื่อค้าขายกับประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้ว โครงการนี้เป็นผลพวงจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีใหม่ ระหว่างประเทศจีนและกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ซึ่งมีผลไปตั้งแต่ 1 มกราคม 2553   คาดว่าปริมาณการค้าขายในเขตการค้าเสรี (Free Zone) มีมูลค่าถึง 161 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ  ทั้งนี้ ปริมาณการค้าระหว่างประเทศจีนและกลุ่มประเทศอาเซียนถูกตั้งเป้าไว้ที่มูลค่า 500 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ.2558

 

ความกังวลของภาคเอกชนไทยที่มีต่อโครงการ

ความกังวลของผู้ค้าส่ง-ปลีกไทยที่มีต่อโครงการนี้ เนื่องจากเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าสินค้าของจีนราคาถูก กลุ่มที่จะกระทบก็จะขยายวงกว้างโดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยไม่สามารถแข่งขันในเชิงราคากับสินค้าจีนได้ ในการพิจารณาประเด็นในเรื่องนี้จึงต้องมีความรอบคอบ เนื่องจากมีผู้ที่ได้รับประโยชน์และเสียประโยชน์

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยสายงานเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการ โดยได้นำผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าไปหารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายอลงกรณ์  พลบุตร) เมื่อวันที่ 25 มกราคม พ.ศ.2554 โดยได้นำเสนอข้อวิตกกังวลของประเด็นที่อาจจะกระทบต่อการค้าส่ง-ค้าปลีกต่อการทุ่มตลาดของสินค้าราคาถูกของจีน ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อศูนย์การค้าของไทย เช่น ประตูน้ำ ตลาดโบ้เบ๊ ฯลฯ  ในกรณีนี้ กลุ่มองค์กรที่ได้เข้าร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมฯ สมาคมการค้าส่ง-ค้าปลีกไทย, สมาพันธ์ธุรกิจไลฟ์สไตล์, สมาคมอุตสาหกรรมของเล่นไทย, สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเรือนไทย, สมาคมผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์และอะไหล่ทดแทน, สมาคมสินค้าตกแต่งบ้านและสมาคมของขวัญของชำร่วยไทย  ซึ่งทางผู้ประกอบการไทยทราบดีว่าภายใต้ข้อตกลง FTA อาเซียน-จีน ไม่สามารถห้ามต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ และไม่สามารถปิดกั้นการเคลื่อนย้ายสินค้าจากจีนสู่ประเทศไทยได้

 

ประเด็นที่ภาคเอกชนนำเสนอให้ภาครัฐพิจารณา

1. ความวิตกกังวลต่อการสัมภาษณ์ของจีนที่จะให้ไทยเป็นฐานการกระจายสินค้า จากการสัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชลของนายดง หงจี ซึ่งเป็นประธานอาชิม่า กรุ๊ป ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไชน่า เดลี่ ซึ่งตีพิมพ์ในประเทศจีนเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2554 ได้กล่าวถึงว่า จะใช้ศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้เป็นศูนย์ Re-export สินค้าไปยังประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้ถูกกีดกันเหมือนการส่งออกจากประเทศจีน และสินค้าที่จำหน่ายในศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้ จะเป็นสินค้า Chinese Made โดยเฉพาะสินค้าประเภทเสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องเรือน และของใช้ในบ้าน โดยผู้เช่าจะมาจากจีนกว่า 70,000 ร้าน

อีกทั้งการสัมภาษณ์ของของนายหยาง  ฟางซู ประธานสมาคม ASEAN-China Economic and Trade Promotion  ได้กล่าวถึงว่า จะเป็นการส่งเสริมผู้ส่งออกของจีนในการที่จะใช้ประโยชน์จาก FTA อาเซียน-จีน ซึ่งไม่มีการจัดเก็บภาษี และมีภาษีต่ำเมื่อค้าขายกับประเทศต่างๆ ที่พัฒนาแล้ว โดยถือว่าเป็นโอกาสของนักธุรกิจที่จะใช้ประโยชน์ของศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้ (ซึ่งต่างกับการให้สัมภาษณ์ของภาครัฐไทย ว่าเป็นโครงการส่งเสริมการค้าไทยและจีน)

                2. ภาคเอกชนเสนอว่า หากรัฐเจรจากับนักธุรกิจจีนที่จะจัดสรรพื้นที่ให้ผู้ประกอบการไทย ซึ่งแต่เดิมกำหนดพื้นที่ไว้เพียง 30%  ประเด็นคือ ศูนย์การค้าของจีนสามารถกำหนดสัดส่วนของคนไทยที่จะเข้าไปเช่าร้านค้าเหล่านี้ได้หรือไม่ เพราะตามกฎหมายธุรกิจการค้าปลีกยังคงถูกสงวนไว้  ไม่ใช่ว่าผู้ค้ารายย่อยจะมาเปิดร้านได้  ประเด็นที่ต้องพิจารณา คือ

                                (1) กฎหมายไทยมีความยืดหยุ่นที่จะให้ผู้ค้ารายย่อย ปลีก-ส่ง (รายย่อยจากต่างชาติ) สามารถดำเนินธุรกิจเปิดร้านค้าส่ง-ปลีกในประเทศไทยได้อย่างเสรี

                                (2) ผู้ประกอบการจีนสามารถขอ Work Permit เข้ามาทำธุรกิจการค้าส่ง-ค้าปลีก เปิดร้านค้าย่อยในศูนย์การค้าแห่งนี้ได้หรือไม่

                                (3) ลูกจ้างที่จะมาเป็นผู้ขายในศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้ในแต่ละร้าน ถึงแม้ว่าเจ้าของร้านจะเป็นชาวจีน ลูกจ้างในร้านจะเป็นชาวจีนได้หรือไม่ ถ้าได้ จะขอ Work Permit ในฐานะอะไร

                                (4) ศูนย์ค้าสินค้าไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของเอกชนจีน  คงทำได้เหมือน Tesco Lotus หรือ Big C แต่ห้างเหล่านั้นก็ไม่มีการมาปิดกั้นสัดส่วนของร้านค้าย่อย ว่าจะให้ผู้ประกอบการจากประเทศตนเป็นสัดส่วนเท่าใด ซึ่งต่างจากผู้ประกอบการของจีนสามารถกำหนดสัดส่วนได้ ซึ่งเป็นคำถามว่า ได้ใช้กฎหมายข้อใดเป็นตัวกำหนด

                3. กระทรวงพาณิชย์จะต้องมีความเข้มงวดในการบังคับกฎหมายสำหรับการค้าปลีก-ค้าส่ง รวมถึงการนำกฎหมายทุ่มตลาดของจีนที่จะเข้ามาขายในศูนย์ค้าสินค้าแห่งนี้ รวมถึงกำหนดมาตรฐานและคุณภาพสินค้า  โดยการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) เพื่อไม่ให้ประเทศจีนใช้ไทยเป็นฐานในการส่งออกสินค้า Made in China  แต่ออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าเป็น Made in Thailand ซึ่งจะส่งผลต่อการแข่งขันของผู้ส่งออกไทย และความน่าเชื่อถือของคุณภาพสินค้า

                4. สภาอุตสาหกรรมเสนอให้กระทรวงพาณิชย์ จัดตั้งคณะทำงานติดตามผลกระทบที่จะมีต่อภาคการค้าส่ง-ปลีก และการผลิต โดยเฉพาะ SMEs และโอกาสการต่อยอดธุรกิจ โดยการนำศูนย์ค้าสินค้าของประเทศจีนที่จะสร้างขึ้นให้เป็นศูนย์กระจายสินค้าของ Made in Thailand ไม่ใช่แต่เพียงจำหน่ายสินค้า Made in China

                5. ขอให้กรมศุลกากรมีความเข้มงวดตรวจสอบสินค้าที่จะนำมาจำหน่ายภายในศูนย์การค้า ซึ่งจะต้องผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้อง สินค้าทุกรายการจะต้องมี Invoice และใบขนสินค้าที่ตรงกับ    Form E ซึ่งเป็นหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าจีน ในการที่จะใช้ภาษีอัตรา 0% และต้องตรวจสอบราคาสินค้าตามเอกสารวาถูกต้องตรงกับที่มีการโอนเงินเข้า-ออกเพื่อเป็นการป้องกันการลักลอบการนำเข้าโดยไม่ถูกกฎหมาย

                6. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง หรือ “ตม.” จะต้องมีความเข้มงวดตรวจสอบผู้ประกอบการจีนและพนักงานขายของว่าเข้ามาและถือวีซ่าในฐานะนักท่องเที่ยว โดยที่ไม่มี Work Permit ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการไทยและการจ้างงานคนไทย

                7. กระทรวงพาณิชย์จะต้องตรวจสอบทะเบียนร้านค้าว่ามีการขออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทยหรือไม่ หากไม่ถูกต้อง จะต้องมีการจัดการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด


ไฟล์ประกอบ : ไม่มีไฟล์
อ่าน : 3210 ครั้ง
วันที่ : 05/02/2011

Contact : V-SERVE GROUP 709/54-55 ถ.สุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง  กทม. 10250 โทรศัพท์. 0 2332 3940-9 โทรสาร. 0 2332 0754
E-mail: tanit@v-servegroup.com