ราคาน้ำมันดิบ ปรับสูงขึ้น เหนือ 122 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ดัชนีหุ้นสหรัฐปรับตัวกระจัดกระจาย จากประเด็นราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นและด้านการเงิน
ราคาน้ำมันดิบทะยานสูงขึ้น หลัง นักลงทุน ยังคงเกาะติดสถานการณ์ตึงเครียด ระหว่างสหรัฐและรัสเซีย ประเด็นการติดตั้งระบบป้องกันภัยขีปนาวุธในยุโรป ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงและการปรับลดอย่างมากของปริมาณสำรองน้ำมันเบนซิน รวมถึง กรณีกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเป็นสินค้าออก หรือ โอเปก ที่จะประชุมครั้งหน้าในช่วงต้นเดือนกันยายน ซึ่ง รัฐมนตรีน้ำมันเวเนซูเอลา ระบุว่าจะเสนอให้ปรับลดกำลังการผลิตลง เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันดิบตกต่ำ
โดยในช่วงปิดตลาด ราคาน้ำมันดิบนิวยอร์ค สหรัฐ รอบส่งมอบเดือนตุลาคม ทะยานขึ้นมากกว่า 6 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 122.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ที่ตลาดลอนดอนของอังกฤษรอบส่งมอบเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้น 5.80 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 120.16 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ขณะที่ตลาดหุ้นวอลสตรีทวันนี้ ดัชนีหุ้นสหรัฐ ปรับตัวกระจัดกระจาย หลังนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่สนใจประเด็นราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น แต่กลับมุ่งเน้นไปที่สถาบันการเงินรายใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ อย่าง ลีห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิ้งส์ ที่ช่วยผ่อนคลายความกังวลเกี่ยวกับการเงินของสถาบันการเงินดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากหนี้สินอันเกิดจากการผ่อนชำระค่าบ้านของลูกค้าด้อยคุณภาพ
โดยในช่วงปิดตลาด ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับสูงขึ้น 12.78 จุด หรือ 0.11 เปอรเซ็นต์ ปิดที่ระดับ 11,430.21 จุด ขณะที่ดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ เพิ่มขึ้น 3.18 จุด หรือ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ปิดที่ 1,277.72 จุด และดัชนีแนสแดค ลดลง 8.70 จุด หรือ 0.36 เปอร์เซ็นต์ มาปิดที่ 2,380.38 จุด