วิเคราะห์เศรษฐกิจประจําเดือนพฤศจิกายน 2550
เศรษฐกิจของประเทศไทยหลังรัฐบาลใหม่

                                                                                   โดยธนิตโสรัตน์ 
                                                                     ประธานกรรมการV-SERVE GROUP
                                                                                   17 พฤศจิกายน 2550

         ในช่วงเวลาแห่งการเลือกตั้งที่จะถึงในวันที่ 23 ธันวาคมซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันการวิเคราะห์เศรษฐกิจฉบับนี้จงขอนําเสนอเกี่ยวกับการวิเคราะห์เศรษฐกิจของประเทศไทยหลัง การเลือกตั้งโดยเฉพาะประเด็นนโยบายของพรรคการเมืองในภาพกว้างซึ่งจะมีผลต่อการชี้นําและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในปีหน้าซึ่งในขณะนี้พรรคการเมืองต่างนําเสนอนโยบาย พรรคซึ่งถือเสมือนเป็นข้อเสนอที่เรียกว่า“Public Choice” คือทางเลือกสาธารณะเพื่อให้ประชาชนหรือVoter ได้เลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศและกําหนดเป็นนโยบายสาธารณะ
(Public Policy) โดยเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไรคงจะต้อง ดูจากนโยบายของพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคใหญ่ซึ่งมีโอกาสจะเป็นแกนนําหรือร่วมจัดตั้ง เป็นรัฐบาลทั้งนี้ปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศก็เปรียบเสมือนเป็นโจทย์ของประเทศ โดยแต่ละพรรคการเมืองจะต้องตีโจทย์ให์แตกซึ่งโจทย์หลักๆของประเทศที่สําคัญเป็น อันดับต้นก็คือป?ญหาการชงักงันทางเศรษฐกิจซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่รัฐบาลที่แล้วคือตั้งแต่ช่วง ก่อนที่จะมี คมช. ก็มีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองนอกสภาจนลุกลามไปสู่ภาคเศรษฐกิจ
และภายหลังการรัฐประหารก็มีรัฐบาลชุดปัจจุบันซึ่งก็เป็นที่ทราบถึงข้อจํากัดและการเข้ามา แก่ปัญหาประเทศแบบชั่วคราวซึ่งเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากความไม่เชื่อมั่น ของผู้บริโภคและนักลงทุนซึ่งมีต่อสภาวะความไม่แน่นอนของทิศทางการเมืองทําให้มีการ ชะลอตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่องถึงเกือบ 2 ปีทางธนาคารโลกคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจของไทยจะ ขยายตัวได้ 4.3% ก็ใกล้เคียงกับADB  ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2550 ว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 4.0-4.2 ส่วนทางธปท. และสภาพัฒน์ฯก็ประเมินว่าGDP ปีนี้น่าจะเติบโตได้ร้อยละ 4.0-4.5 เห็นได้จากตัวเลขการบริโภคภายในปีนี้น่าจะอยู่ที่โตไม่เกินร้อยละ 1.7 หากรวมการใช้จ่ายของ รัฐบาลก็คงไม่เกินร้อยละ 2.6 ซึ่งตํ่ากว่าเกณฑ์ควรจะเป็นซึ่งหากเปรียบเทียบการขยายตัว ดรรชนีการบริโภคในปี 2549 ที่ร้อยละ 3.2 และปี 2548 ร้อยละ 5.5