กรอ.ที่มี "ยิ่งลักษณ์" เป็นประธาน
ประชุมร่วมกับเอกชนนัดแรก ในวันที่ 15 มกราคมนี้ ขณะที่ สภาอุตฯ
จี้ให้เร่งเมกะโปรเจกท์รถไฟฟ้าความเร็วสูง เส้นทาง "กรุงเทพฯ-เชียงใหม่"
พร้อมขอความชัดเจนของแผนบริหารจัดการ ป้องกันน้ำท่วมซ้ำ
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) เปิดเผยว่า
คณะกรรมการภาคเอกชนร่วม 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ
สมาคมธนาคารไทย นัดประชุมวันที่ 9 มกราคมนี้ โดยมี
วาระการหารือเพื่อเตรียมการประชุม คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน
(กรอ.)ที่จะมีการจัดขึ้นที่จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 15 มกราคมนี้
โดยการประชุม กรอ.ที่จะมีขึ้น นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จะเป็นประธานในการประชุม และถือเป็นการประชุม
กรอ.นัดแรกที่เอกชนจะได้หารือกับรัฐบาลชุดใหม่
โดยจะมีหน่วยงานภาคเอกชนอื่นๆ เช่น สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ฯลฯ
ร่วมประชุมด้วย
ทั้งนี้ สอท.จะนำเสนอเรื่องระบบการขนส่ง
และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพมหานคร และ ภาคเหนือ
เช่น การสร้างรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีด เทรน)กรุงเทพฯ-เชียงใหม่
และรถไฟเชื่อมต่อระหว่าง กรุงเทพฯ-เชียงราย เป็นต้น
เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการขนส่ง
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งด้านการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้า
ก่อนหน้านี้ นายสี จิ้น ผิง รองประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางมาเยือนไทย
พร้อมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ใน โครงการรถไฟความเร็วสูง
เส้นทาง กทม.-เชียงใหม่-ลาว-ประเทศอาเซียน เรียบร้อยแล้ว
"ในการประชุมกรอ.ครั้งนี้ถือเป็นนัดแรกที่ภาครัฐและเอกชนจะได้หารือร่วมกัน
หลังจากที่ภาคเอกชนรอคำตอบจากรัฐบาลชุดนี้ มาเป็นเวลานาน โดยที่ผ่านมา
เคยขอเข้าร่วมประชุมหลายครั้งแต่ยังไม่มีการเรียกประชุม จึงเป็นเรื่อง
ที่ดี
ที่ภาครัฐให้ความสนใจที่จะทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อจะได้เข้าใจถึงอุปสรรค
ปัญหา และข้อคิดเห็นจากภาคเอกชนจากทุกหน่วยงาน" นายธนิต กล่าว
นายธนิตกล่าวอีกว่า นอก จากนี้ที่ประชุมกรอ.
จะมีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ของกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(เอสเอ็มอี) ที่ได้รับ ผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา
รวมถึงแนวทางในการฟื้นฟูกิจการให้ฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว
ตลอดจนพิจารณาปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูกิจการและการเข้าถึงความช่วย
เหลือของภาครัฐ ขณะเดียวกันจะมีการรายงานความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ด้วย
ขณะที่ นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสอท.กล่าวว่า
แนวโน้มการผลิตรถยนต์ในปี 2555 คาดว่าจะปรับ เพิ่มขึ้นเป็น 2.3 ล้านคัน
จากสัญญาณบวกที่ค่ายรถยนต์ตลอดจนโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ
กลับมาฟื้นการผลิตหลังน้ำท่วมได้อย่างรวดเร็ว
ล่าสุดกลุ่มอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างการประเมินตัวเลขยอดการผลิตรถยนต์ปีนี้
ใหม่ที่คาดว่าจะเพิ่มจากเป้าหมายเดิมอยู่ที่ 2 ล้านคัน
ด้านนายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการ สถาบันยานยนต์
กล่าวถึงผลกระทบจากน้ำท่วมต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ว่า แม้ช่วงปลายปี 2554
ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยานยนต์จะได้รับผลกระทบ จากเหตุการณ์น้ำท่วมอย่างหนัก
แต่ค่ายรถยนต์ ก็ได้จ่ายโบนัสแก่พนักงานใน อัตราที่สูงเกือบทุกค่ายเฉลี่ย
5-6 เดือน และสูงกว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนที่จ่ายโบนัสพนักงานเฉลี่ย 2-3 เดือน
นอกจากนี้ มีค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ 2 ค่าย ได้แก่ โตโยต้า และอีซูซุ
มีแผนจะขยายกำลังการผลิตรถยนต์เพิ่มไม่ต่ำกว่า 100,000 คันต่อปี
เนื่องจากปัจจุบัน เต็มกำลังการผลิตแล้ว แต่จากปัญหา น้ำท่วมที่ผ่านมา
ทำให้บริษัทยังรอแผนการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลก่อน
รวมถึงดูทิศทางตลาดและนโยบายรถยนต์ ของไทยด้วย
สำหรับปี 2555 จะมีโรงงานประกอบรถยนต์ 3 แห่ง ที่สร้างเสร็จ
มีกำลังการผลิตรวม 500,000 คันต่อปี ประกอบด้วย ค่ายฟอร์ด
ที่จะผลิตรถยนต์ทั่วไป รวมถึงค่ายซูซูกิ และ มิตซูบิชิ
ที่จะผลิตรถยนต์อีโคคาร์เข้าทำตลาดรถยนต์เพิ่ม
โดยปีแรกในการเดินเครื่องการผลิตยังไม่สามารถใช้กำลังผลิตได้เต็ม 100%
ด้านนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สอท. กล่าวว่า
ขณะนี้ค่ายรถยนต์หลายแห่งได้เตรียมแผนขยายกำลังการผลิตรถยนต์ในประเทศ
เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในทั้งและต่างประเทศที่ยังมีความต้องการ
สูง โดยเฉพาะรถยนต์ ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) และรถกระบะ
เนื่องจากทุกค่ายยังมั่นใจศักยภาพของประเทศไทย แม้ว่า
พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม หลายแห่งจะถูกน้ำท่วม ก็ตาม
ที่มา : แนวหน้า
|