|
||||
|
||||
คาดเปิด AEC นักธุรกิจจีนทะลัก Shareหวั่นหลังเปิดเออีซีทุนจีนบุกไทย ลงทุนท่องเที่ยวครบวงจร กระทบผู้ประกอบการไทย แนะเอกชนปรับตัวเน้นเชิงรุก ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายในงานสัมมนา โครงการชักจูงการลงทุนและส่งเสริมการลงทุนไทยในกลุ่มประเทศอาเซียน ว่า จากการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะส่งผลให้กลุ่มทุนจากจีนเข้ามาลงทุนในไทยมาขึ้น โดยเฉพาะในกิจการบริการด้านการท่องเที่ยว ซึ่งไทยจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เพราะจีนจะเข้ามาลงทุนอย่างครบวงจร ทั้งโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร บริการรถ ร้านขายสินค้าที่ระลึก หรือบริษัทบริการนำเที่ยว เป็นต้น ทั้งนี้ ไทยถือว่ามีจุดแข็งในด้านสถานที่ท่องเที่ยว แต่ไม่ใช่ธุรกิจด้านบริการ หากกลุ่มทุนจีนเข้ามาลงทุนในลักษณะดังกล่าว ผู้ประกอบการไทยจะทำธุรกิจลำบากมากขึ้น เพราะแม้ว่าการเปิดเสรีจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในเมืองไทยมากขึ้น แต่หากไม่ใช่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ไทยก็จะไม่ได้รับประโยชน์ เช่น กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาไทยมากขึ้น แต่เข้ามาใช้บริการโรงแรมจีน ร้านอาหารจีน ผู้ประกอบการไทยก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากการที่นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น อีกทั้งนักท่องเที่ยวยังเข้ามาใช้ทรัพยากรธรรมชาติของไทยอีกด้วย ซึ่งเรื่องนี้ควบคุมได้ยาก ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเริ่มปรับตัว ทำการท่องเที่ยวเชิงรุก โดยร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในเส้นทางที่มีสถานที่ท่องเที่ยวเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ลาว ซึ่งอาจทำการท่องเที่ยวร่วมกันให้นักท่องเที่ยวพักในไทย 1 คืน ไปพักที่ลาว 1 คืน หรือส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนเปิดโรงแรม ร้านอาหารในต่างประเทศ โดยในส่วนนี้ภาครัฐ หรือบีโอไอควรจะเข้ามาส่งเสริมให้มากขึ้น รวมทั้งรัฐบาลต้องออกมาตรการควบคุมดูแลคุณภาพนักท่องเที่ยว มีการจัดลงทะเบียนบริษัทนำเที่ยว หรือต้องให้ใช้ผู้นำเที่ยว (ไกด์) ของประเทศไทย ไม่ใช่ใช้ไกด์เป็นชาวต่างชาติ การท่องเที่ยวไทยคิดว่าตัวเองมีจุดแข็ง แต่หากไม่มีการปรับตัวเป็นการท่องเที่ยวเชิงรุกแล้ว ผู้ประกอบการไทยจะลำบาก เพราะถูกกลุ่มทุนต่างชาติเข้ามาแย่งลูกค้า และภาครัฐควรจะเข้ามาส่งเสริมให้ผู้ประกอบการออกไปลงทุนในกลุ่มท่องเที่ยวออกไปลงทุนในต่างประเทศควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่เน้นเฉพาะการส่งเสริมการท่องเที่ยว หรือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยว นายธนิต กล่าว นายส่งศักดิ์ ลิมบานเย็น รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมหารลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนไทยในตางประเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา โดยคาดว่าจะเสร็จภายในเดือนก.ย. และจะนำเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ต่อไป โดยตอนนี้บีโอไอก็พยายามให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับประเทศต่างๆ ที่นักลงทุนสนใจไปลงทุน รวมทั้งนำคณะไปโรดโชว์หาช่องทางในต่างประเทศ แต่การช่วยเหลืออื่นๆ ยังไม่มี ซึ่งก็มีนักลงทุนไทยเข้ามาสอบถามอยู่ แต่บีโอไอก็ยังให้คำตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาโอกาสและสู่ทางการลงทุนในอาเซียนเชิงลึก 5 สาขา ได้แก่ อุตสาหกรรมเกษตร สิ่งทอ ยานยนต์ ท่องเที่ยว และก่อสร้าง พบว่า ธุรกิจที่นักลงทุนไทยมีโอกาสจะเข้าไปลงทุนในสิงคโปร์ คือ ธุรกิจร้านอาหาร สปา และรีสอร์ท ขณะที่ประเทศมาเลเซีย ได้แก่ ธุรกิจอาหารฮาลาล ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น สำหรับอินโดนีเซีย ธุรกิจที่ไทยควรไปลงทุน ได้แก่ การทำประมงน้ำลึก เนื่องจากอินโดนีเซียยังขาดความชำนาญและประชาชนไม่นิยมบริโภคอาหารทะเล จึงเป็นโอกาสของไทยในการรับสัมปทานจับสัตว์น้ำมาแปรรูปเพื่อบริโภคในประเทศและส่งออก ส่วนฟิลิปปินส์ ธุรกิจที่เหมาะจะเข้าไปลงทุน คือ แปรรูปผลไม้ ชิ้นส่วนอะไหล่ และอุปกรณ์แต่งรถยนต์ เป็นต้น ที่มา: โพสต์ทูเดย์ อ่าน : 1890 ครั้ง วันที่ : 29/09/2011 |
||||
|