|
||||
|
||||
สภาอุตฯ ให้ปู1 แค่ 5 คะแนน ชี้ผลงาน 1 เดือนจับต้องไม่ได้ ห่วงงบประชานิยม 6 แสนล้านรั่ว Shareเมื่อวันที่ 26กันยายน ผู้บริหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ได้แสดงความคิดเห็น และประเมินผลงานรัฐบาลภายใต้การนำของ นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าบริหารครบ1เดือน โดยนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ มีนโยบายใช้เม็ดเงินกว่า 6 แสนล้านบาทในโครงการต่างๆ ภาคเอกชนอยากเห็นรัฐบาลใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่างๆให้ไป ถึงมือประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ต้องการให้เกิดการคอร์รัปชั่น เอาเงินเข้ากระเป๋าใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้นภาคเอกชนจึงอยู่ระหว่างการติดตามการทำงานของรัฐอย่างใกล้ชิด ในการดำเนินโครงการประชานิยมต่างๆ เช่น โครงการบัตรเครดิตพลังงาน บัตรเครดิตเกษตรกร และโครงการจำนำข้าวว่า เม็ดเงินจะถึงมือประชาชนฐานรากจริงหรือไม่ ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองประธานส.อ.ท. กล่าวว่า รัฐบาลเพิ่งทำงานครบ 1 เดือน จึง ยังไม่สามารถให้คะแนนได้ และพบว่าจากการที่รัฐบาลก็เร่งออกมาตรการเพื่อทำตามที่หาเสียงไว้ จึงมีข้อผิดพลาด และมีการกลับมาแก้ไขตลอดเวลา จึงต้องการให้รัฐบาลตั้งหลักการทำงาน และก่อนออกมาตารการควรพิจารณาให้รอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบความเชื่อ มั่นของประชาชนว่ารัฐบาลจะทำงานได้ดีหรือไม่ และไม่ต้องวิตกว่ารัฐบาลจะมีอายุสั้นๆ เพราะจำนวนเสียงสนับสนุน300เสียง น่าจะบริหารประเทศได้นานอย่างแน่นอน นอกจากนี้ยัง ต้องการฝากให้รัฐบาลเร่งสร้างความปรองดองกับประชาชนทุกกลุ่มในประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน นักท่องเที่ยวต่างชาติด้วย ด้านนายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการ ส.อ.ท.กล่าวว่า หากให้คะแนนรัฐบาลชุดนนี้แล้ว โดยส่วนตัวให้ 5 คะแนจากเต็ม 10 คะแนน โดยภาพรวมถือว่า พอใจการทำงานของรัฐบาลแต่ยังไม่เห็นผลงานที่จับต้องได้ชัดเจน พร้อมกันนี้ ส.อ.ท.ต้องการให้รัฐบาลมาเร่งแก้ไขปัญหาในการลดภาระค่าครองชีพของ ประชาชน เพื่อเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ มากกว่าการเร่งออกมาตรการซื้อบ้านหลังแรก รถยนต์คันแรกแล้วได้คืนภาษี เพราะเรื่องนี้ถือว่าไกลตัวของคนเกือบทั้งประเทศ และเป็นผลดีเฉพาะคนชั้นกลางเท่านั้น หากจะเลื่อนเดินหน้านโยบายดังกล่าวออกไปอีก 2-3 เดือนข้างหน้าก็ได้ ก็ไม่ถือว่าผิดสัญญาที่หาเสียงไว้กับประชาชน "ก็ต้องเห็นใจรัฐบาลด้วยเช่นกันเพราะเข้ามาทำงานเพียงแค่1 เดือน ทำให้วัดผลงานที่เป็นรูปธรรมได้ยาก และเวลาอีกส่วนหนึ่งก็ต้องไปทุ่มเทแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ในปีนี้ มีความรุนแรงมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา" นายสมมาต กล่าว นอกจากนี้มองว่ารัฐบาลควรมีมาตรการที่ทำให้ประชาชนมีเงินอยู่ในกระ เป๋าเพื่อดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งการหาทางให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะคนส่วนใหญ่กู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย กู้เพื่อไปลงทุน ฯลฯ ซึ่งหากทำได้จะลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงเดือนละ300-500 บาทต่อเดือน เพื่อให้นำเงินทีเหลือกลับมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และยังเหมาะสมกว่าการที่จะไปพิจารณาปรับเพิ่มขึ้นเบี้ยยังชีพคนชรา เพราะหากเบี้ยคนชราปรับขึ้นมากกว่า500 บาทต่อเดือน แต่หากค่าครองชีพไม่ลดลงก็ไม่มีผลดีแต่อย่างใด ที่มา : แนวหน้า อ่าน : 1688 ครั้ง วันที่ : 27/09/2011 |
||||
|