|
||||
|
||||
สภาที่ปรึกษาฯ แนะลำดับความสำคัญ รับมือวิกฤติเศรษฐกิจโลก Shareดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานคณะทำงานเศรษฐกิจมหภาคการเงิน การคลัง สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) เปิดเผยในงานสัมมนา "นโยบายรัฐบาลใหม่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน" ว่า รัฐบาลใหม่ควรกลับมาทบทวนนโยบายทั้งหมดที่เคยหาเสียงไว้ โดยจัดลำดับความสำคัญของแต่ละโครงการให้มีความเหมาะสม เพื่อรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจของโลกรอบใหม่ หลังจากสหรัฐอเมริกาถูกลดลำดับความน่าเชื่อถือทางการเงินเป็นครั้งแรกในรอบ 76 ปี รวมทั้งวิกฤติการทางการเงินของสหภาพยุโรปที่ยังมีปัญหา ซึ่งถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างมากและอาจกระทบต่อการขับเคลื่อนนโยบายด้วย รัฐบาลควรจะมาดูนโยบายใหม่ก่อน อย่างแรกควรจัดลำดับความสำคัญอย่างไหนทำก่อนทำหลัง โดยเฉพาะการใช้เงินที่อาจสุ่มเสี่ยง ซึ่งต้องดูฐานะทางการเงินการคลังของประเทศประกอบเข้าไป และถ้าชะลอโครงการไหนได้ ต้องชะลอออกไป รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบาย ควรทำให้สอดคล้องไปกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 ด้วย ซึ่งเรื่องทั้งหมดสภาที่ปรึกษาฯจะรวบรวมและจัดทำเป็นข้อมูลนำเสนอรัฐบาลใหม่ เพื่อพิจารณาอีกที ทั้งนี้หากรัฐบาลใหม่ได้ผลักดันนโยบายประชานิยมทั้งหมด จะต้องใช้เงินถึง 1.855 ล้านล้านบาท ถือว่าเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะรัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณขาดดุลไปอีก 5-6 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มสูงขึ้น เพราะคาดว่ารัฐบาลจะมีการกู้เงินอีกถึง 800,000 ล้านบาท นายชินโชติ แสงสังข์ สมาชิกสภาที่ปรึกษาฯ และผู้นำแรงงาน กล่าวว่า นโยบายการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ และขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาทต่อเดือน นั้น เป็นนโยบายที่เพ้อฝัน และไม่สามารถทำได้ แม้ว่าจากการตรวจสอบอัตราค่าแรงปัจจุบันของผู้ใช้แรงงานของไทยยังไม่ตอบ สะท้อนต้นทุนค่าแรงที่แท้จริง เพราะการตามนโยบายจะเป็นการขึ้นค่าแรงแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องยกเลิกกิจการในที่สุด และทำให้ผู้ใช้แรงงานจากภาคเอสเอ็มอีที่มีต้องตกงานอีกเป็นจำนวนมาก นายอำนวย ปะติเส อดีตรมช.คลังกล่าวว่า นโยบายภาคเกษตรที่รัฐบาลใหม่จะกลับมาดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้า 15,000 บาทต่อตัน และจำนำข้าวหอมมะลิ 20,000 บาทต่อตัน ถือเป็นนโยบายที่รัฐเข้าไปรบกับตลาดโดยตรง ซึ่งไม่มีประเทศใดในโลกใช้วิธีนี้ เพราะถึงที่สุดก็สู้กับกลไกตลาดไม่ได้ ดังนั้นรัฐบาลควรจะกลับมาดูโครงสร้าง และตรวจสอบความพร้อมก่อน และขั้นตอนในการบริหารจัดการ โดยเฉพาะคุณภาพของคน หรือเกษตรกรจะต้องเข้าใจกลไกการผลิตทั้งหมด เพื่อให้ผลผลิตที่ออกมามีคุณภาพ นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ต้องการให้รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญในเรื่องปากท้องของประชาชนเป็นอันดับแรก รองลงมาคือความสงบภายในประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเห็นว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ยังขยายตัวต่อเนื่อง ส่วนการส่งออกที่อาจจะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นนั้น เป็นโจทย์ที่รัฐบาลใหม่ต้องหาความสมดุล เพราะสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แต่ยอมรับว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอาจทำให้เงินเฟ้อลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน การที่นายกฯไทยเป็นผู้หญิงคนแรกนั้น ท็อป ออฟ ฟอร์ม ไม่มีการตัดสินว่าเป็นเพศไหนเข้ามาเป็นนายกฯ แต่ถือว่าได้รับการเลือกตั้งอย่างถูกต้อง และขอให้คัดเลือกคนดีมาบริหารประเทศ เพราะทุกคนคาดหวังว่ารัฐบาลใหม่จะเข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยต้องการให้เร่งแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ รวมถึงการสร้างความสงบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการ เพราะเป็นโจทย์ที่รัฐบาลใช้ในการเลือกตั้ง ที่มา: เดลินิวส์ อ่าน : 2030 ครั้ง วันที่ : 10/08/2011 |
||||
|