ญี่ปุ่นแหยงค่าแรง 300 วอนรัฐบาลใหม่ชะลอปรับขึ้น เผยอินโดฯ-เวียดนามรอเสียบ Share


         เจโทร เผยผลสำรวจ ความคิดเห็นนักลงทุนญี่ปุ่นในไทย ส่วนใหญ่กังวลเรื่องต้นทุน ทั้งจากราคาวัตถุดิบและค่าแรง วอนรัฐบาลใหม่ชะลอการปรับขึ้น ชี้ผลกระทบจาก"สึนามิ" ยังไม่จาง หากเจอกระแทกอีกคงไม่ไหว ด้าน สอท. ชี้หากรัฐขึ้นค่าแรงทันที ทุนญี่ปุ่นเผ่นแน่ ขณะที่เวียดนาม อินโดนีเซีย อ้าแขนรับ ด้าน ส.ค้าปลีก ย้ำปัญหาค่าแรง จะทำธุรกิจทรุด

นายเซอิยะ สุเคกาว่า รองประธานและการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์อาวุโส (ภูมิภาคเอเชีย) องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่นประจำกรุงเทพ (เจโทร) เปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มทาง เศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศ ประจำครึ่งปีแรก 2554 พบว่า บริษัทส่วนใหญ่ในขณะนี้กำลังปรับตัวดีขึ้น42 % และพบว่า บางบริษัทมีสภาพที่ปรับตัวลดลงมากถถึง 38 %

โดยหากพิจารณาในแต่ละอุตสาหกรรม จะพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เป็นลบกลุ่ม อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องจักรที่ใช้ในการขนส่ง อุตสาหกรรมเคมี ส่วนอุตสาหกรรมอื่นที่ไม่ใช่อุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งคาดว่า จะปรับตัวในทิศทางที่หดตัวในทุกประเภทอุตสาหกรรม

ส่วนแนวผลสำรวจโน้มเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังของปี 2554 พบว่า สภาพธุรกิจจะดีขึ้น 69% และสภาพธุรกิจจะแย่ลง 10 % และหากพิจารณาในแต่ละอุตสาหกรรม คาดว่าอุตสาหกรรมการผลิตแม้จะปรับตัวในทิศทางที่หดตัวในอุตสาหกรรมอาหาร และสิ่งทอ แต่ในอุตสาหกรรมอื่นคาดจะปรับตัวดีขึ้น ส่วนอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การผลิตคาดว่า จะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นทุกประเภทอุตสาหกรรม

"เป็นไปได้ว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ญี่ปุ่น ทำให้บริษัทส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ กำลังการผลิตจะลดลง เมื่อเทียบจากปีที่ผ่านมา ส่วนผลกำไรทั้งปี 2554 อาจจะลดลงเช่นกัน"

นายเซอิยะ กล่าวอีกว่า จากการสำรวจครั้งนี้ยังพบว่า นักลงทุนญี่ปุ่นมีข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยคือ ต้องการให้รัฐบาลไทยรักษาความมั่นคง และเสถียรภาพทางการเมือง รวมทั้งความปลอดภัยของสถานการณ์บ้านเมือง 64 % พัฒนาและปรับเปลี่ยนการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับระบบภาษีศุลากร 48% ผ่อนปรนกฎระเบียบให้กับผู้ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 28%

นอกจากนี้ ต้องการให้รัฐบาลไทยหลีกเลี่ยงความล่าช้า และอำนวยความสะดวกในขั้นตอนพิธีศุลกากร 40 % เลื่อนกำหนดเวลาในการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 37 % มาตรการป้องกันความเสียหายอันจะเกิดจากข่าวลือ อาทิ เรื่องความปลอดภัยอาหารญี่ปุ่น 30 %

"ที่ต้องการให้รัฐบาลไทยเลื่อนกำหนดในการปรับค่าจ้างขั้นต่ำออกไปนั้น เนื่องจากนักลงทุนญี่ปุ่นบางรายได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ภัยพิบัติ จึงยังไม่ต้องการให้รัฐบาลไทยปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันในทันที เนื่องจากนักลงทุนกังวลในเรื่องของต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งต้นทุนเรื่องของค่าแรงด้วย ส่วนนักลงทุนญี่ปุ่นจะย้ายการลงทุนจากไทยไปประเทศอื่นหรือไม่นั้น ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีความต้องการจะย้ายไป เนื่องจากยังเห็นศักยภาพของประเทศไทย"

สอท.ชี้ทุนญี่ปุ่นเผ่นแน่

ด้าน ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยในงานเสวนา "เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง...มุมมองภาคเอกชน" ว่า หลังจากองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่นประจำกรุงเทพฯ (เจโทร) และหอการค้าญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (เจซีซี)ได้สอบ

ถาม ผลกระทบต่อนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศของรัฐบาลใหม่พบว่า มีความกังวลว่า จะทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น และหากปรับขึ้นทันที อาจทำให้ญี่ปุ่นลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศไทย โดยย้ายไปประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและเวียดนามแทน

"ขณะนี้ญี่ปุ่นไม่ได้มองว่า ประเทศไทยน่าเข้ามาลงทุนเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคแล้ว แต่มอง อินโดนีเซียน่าลงทุนมากกว่าไทย รองลงมาคือเวียดนาม และมองไทยเป็นอันดับ 3" ดร.ธนิต กล่าว

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังเผชิญปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ได้แก่ นโยบายประชานิยมของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ทั้งการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และนโยบายอื่นๆ ล้วนส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่า อาจจะทะลุกรอบ 4.2-4.5 % ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง อัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ฌน่าจะขยับขึ้นเป็น 3.75% ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งก็จะกลายเป็นภาระเพิ่มขึ้นไปอีก

ด้านนางผุสดี กำปั่นทอง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หากรัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน จะเป็นการเร่งอัตราเงินเฟ้อให้ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 4 % จากที่คาดว่า จะอยู่ระดับ 3.2-3.7% ภายใต้สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และค่าเงินบาทอยู่ที่ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ

ด้านนางสาวบุษบา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สำหรับนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทเชื่อว่าจะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอย่างแน่นอน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก แต่ต้องขอระยะเวลาในการปรับตัวรวมทั้งต้องมีการตั้งกองทุนขึ้นมาช่วยเหลือ ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอีกทางหนึ่ง


ที่มา: แนวหน้า



อ่าน : 2098 ครั้ง
วันที่ : 28/07/2011

Contact : V-SERVE GROUP 709/54-55 ถ.สุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง  กทม. 10250 โทรศัพท์. 0 2332 3940-9 โทรสาร. 0 2332 0754
E-mail: tanit@v-servegroup.com