ภาคเอกชนเริ่มเคลื่อนไหวกรณีเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา เตรียมเรียกประชุมหารือผลกระทบวันพรุ่งนี้ พร้อมหวังสองฝ่ายเร่งเจรจา หวั่นกระทบเศรษฐกิจ

ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย บอกว่าในวันพรุ่งนี้( 26 เม.ย.) ภาคเอกชน ทั้งสภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย และตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐกว่า 10 หน่วยงาน จะร่วมหารือถึงผลกระทบทางด้านการค้า และเศรษฐกิจ จากเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชา รวมทั้งแนวทางในการก่อตั้งสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ที่ภาคเอกชนมุ่งหวังที่จะสร้างสัมพันธ์ด้านธุรกิจกับภาคเอกชนของกัมพูชา โดยขณะนี้เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้น ทำให้ภาคการค้าชายแดน และการขนส่งสินค้าในเขตจังหวัดสุรินทร์ มีปัญหาอย่างหนัก เพราะสินค้าไม่สามารถเข้า-ออกได้ตามปกติ อย่างไรก็ตามบริเวณด่านชายแดนอื่น ๆ ก็ยังสามารถขนส่งสินค้าได้อยู่ ส่วนมูลค่าการค้า ระหว่างไทยและกัมพูชานั้น มีอยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้ภาคเอกชนเป็นห่วงว่าเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นหากยืดเยื้อก็อาจจะกระทบต่อภาคการค้าได้ เพราะในขณะนี้มีบริษัทเอกชนของไทยหลายราย ที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา เช่น ที่เมืองเสียมเรียบ ซึ่งมีโรงแรมของไทยอยู่เป็นจำนวนมาก รวมถึงบริษัทผลิตปูนซีเมนต์ และสิ่งทอ ที่มูลค่าเงินลงทุนโดยตรงสูงถึง 1 0,000 ล้านบาท

นอกจาก นี้ยังเป็นห่วงในเรื่องของเส้นทางขนส่งสินค้าจากจังหวัดตราดไปยังเวียดนาม ตอนใต้ เพราะต้องมีเส้นทางที่ผ่านประเทศกัมพูชา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทน้ำมัน ผัก และผลไม้ รวมถึงสินค้าอุปโภค บริโภคต่างๆ ซึ่งมีถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ของสินค้าที่ส่งไปเวียดนามผ่านเส้นทางนี้

ทั้งนี้ ภาคเอกชนอยากให้ทุกฝ่ายเร่งเจรจาเพื่อหาทางออก เพราะในขณะนี้ประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่กำลังจะได้ประโยชน์จาก การเปิดเสรีการค้าในปี 2558 ดังนั้นจึงไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองมากระทบต่อโอกาสทางเศรษฐกิจ ของไทย

ด้านนาย โสฬส สาครวิศว กรรมการผู้จัดการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย หรือ เอสเอ็มอี.แบงค์ บอกว่า ขณะนี้ธนาคารกำลังติดตามสถานการณ์การปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา อย่างใกล้ชิด โดยพบว่า ยังไม่ส่งผลกับลูกค้าของธนาคาร ที่มีการส่งออกสินค้าโดยตรงไปยังประเทศกัมพูชา ซึ่งหวังว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นปัญหาระยะสั้น และจะจำกัดผลกระทบไว้ที่พื้นที่ชายแดนเท่านั้น

ที่มา: ครอบครัวข่าว 3