ทิ้ง 4.4 หมื่นล. หั่นภาษีอุ้มดีเซล นักวิชาการติงใช้เหตุผลการเมืองมากกว่า ศก. Share


 รัฐบาลมาร์คหาเสียงนำร่องด้วยการประกาศตรึงดีเซลไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรต่อไปอีก เล็งชงครม.20เม.ย.นี้ลดภาษีสรรพสามิตดีเซลและVat รวม 5.70 บาทต่อลิตรประเมินกระทบรายได้รัฐที่จะหายไปช่วง 5 เดือน(พ.ค.-ก.ย.)ราว 4.4 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักวิชาการติงใช้เหตุผลการเมืองมากกว่าทางเศรษฐกิจ
       
       นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแถลงภายหลังการหารือร่วมกับนายกรณ์ จาติกวณิชย์ รมว.คลัง และนายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เพื่อหามาตรการดูแลราคาน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาทภายหลังเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเหลือวงเงินสุทธิในการดูแลเพียง 4,000 ล้านบาทวานนี้(18เม.ย.) ว่า รัฐบาลยืนยันที่จะดูแลราคาดีเซลขายปลีกไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรต่อไปโดยการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) 20 เม.ย.นี้จะเสนอให้มีการยกเลิกการเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 5.30 บาทต่อลิตรและภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) อีก 40 สตางค์ต่อลิตรรวมเป็น 5.70 บาทต่อลิตรมาช่วยเหลือในการดูแลราคาดีเซล
       
       “จะนำเงินดังกล่าวโยกมาช่วยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงบริหารซึ่งการที่ รัฐไม่สามารถปล่อยให้ดีเซลเกิน 30 บาทต่อลิตรได้นั้นเพราะจะกระทบต่อราคาสินค้าและขนส่งที่จะมีผลต่อค่าครองชีพ ของประชาชนที่สูงขึ้นประกอบกับขณะนี้มีปัญหาภัยพิบัติในประเทศญี่ปุ่น ทำให้เศรษฐกิจโลกอาจไม่ฟื้นตัวตามที่คาดการณ์ไว้ และอาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้การจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศลดน้อยลง ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่ต้องการที่จะเจอทั้งภาวะเงินฝืด และเงินเฟ้อในเวลาเดียวกัน”นายอภิสิทธิ์กล่าว
       
       นายกรณ์ กล่าวว่า คาดว่ารายได้ที่จะหายไปจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันในช่วง 5 เดือน(พ.ค.-ก.ย.)ที่เหลือของปีงบประมาณปี 2554 จะอยู่ที่ 44,380 ล้านบาท โดยมาจากเงินภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ประมาณ 42,480 ล้านบาท ซึ่งเป็นการคำนวณที่อัตราภาษี 5.31 บาทต่อลิตร บวกกับอัตราการใช้น้ำมันดีเซลในประเทศที่คาดว่าจะมีการใช้เดือนละประมาณ 1,600 ล้านบาท ส่วนอีก 1,900 ล้านบาท จะมาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล
       
       ทั้งนี้ กระทรวงการคลังยืนยันว่าการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล จะไม่กระทบต่อสถานะการเงินของประเทศ เพราะในปีงบประมาณ 2554 กระทรวงการคลังคาดว่าจะมีการจัดเก็บรายได้เกินกว่าเป้า โดยคาดว่าในปีงบประมาณ 2554 จะมีการขาดดุลงบประมาณที่ 4.1 แสนล้านบาท จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะขาดดุลงบประมาณที่ 4.2 แสนล้านบาท
       
       น.พ.วรรณรัตน์กล่าวว่า กองทุนน้ำมันฯได้ชดเชยราคาดีเซลไปแล้ว 6.40 บาทต่อลิตรดังนั้นวันที่ 19 เม.ย.นี้อาจจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน(กบง.) เพื่อปรับลดการชดเชยดีเซลลง 40 สตางค์ต่อลิตรเนื่องจากค่าการตลาดผู้ค้าอยู่ในอัตรา 1.40 บาทต่อลิตรรวมไปถึงภาษีเทศบาลและอื่นๆ อีก 30 สตางค์ต่อลิตรเพื่อให้กองทุนฯชดเชยดีเซลเหลือ 5.70 บาทต่อลิตรเมื่อโยกเงินการลดภาษีสรรพสามิตดีเซลและVat 5.70 บาทต่อลิตรก็จะครอบคลุมทั้งหมดพอดี
       
       สำหรับสถานะกองทุนน้ำมันฯ ปัจจุบัน มีเงินสดสุทธิประมาณ 34,251 ล้านบาท แต่มีหนี้สินสุทธิประมาณ 29,751 ล้านบาท ทำให้มีเงินเหลือประมาณ 4,500 ล้านบาท ขณะที่กองทุนน้ำมันมีเงินไหลเข้า หลักจากกลุ่มเบนซิน 2,400-2,500 ล้านบาทต่อเดือน แต่มีหนี้นำเข้าแอลพีจี 2,000 ล้านบาทต่อเดือนจึงเหลือเงินไหลเข้าต่อเดือนประมาณ 500 ล้านบาทซึ่งเมื่อรวมเงินกองทุนฯที่เหลือประมาณ 4,500ล้านบาทรวมกับที่เหลือต่อเดือนอีก 500 ล้านบาทก็ยังดูแลราคาขายปลีกดีเซลไม่ให้ขยับได้อีก 5 เดือนหากระดับราค้านำมันยังอยู่ในภาวะเช่นปัจจุบัน
       
       ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลดูแลราคาดีเซลต่อไปเนื่องจากจะเป็นการดูแลภาวะอัตรา เงินเฟ้อที่คาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ 3.8-4%ไม่ให้สูงอีกเพราะหากน้ำมันขึ้นจะมีผลต่อค่าครองชีพประชาชนและราคา สินค้าที่หลายรายการจะปรับขึ้นจะไปเร่งให้มีการปรับเร็วขึ้นอีก อย่างไรก็ตามนโยบายดังกล่าวก็ควรจะทำระยะสั้นๆ เท่านั้นหลังจากนั้นควรจะค่อยๆ ขึ้นราคาเพื่อให้สะท้อนกลไกที่แท้จริง

        นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมัน กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวเป็นเหตุผลทางการเมืองมากกว่าเหตุผลของการดูแลด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงตัดสินใจแบบหน้ามืดด้วยการเทเงินหมดหน้าตักในการดูแลราคาดีเซลโดย ไม่ได้คำนึงว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรโดยเฉพาะงบประมาณที่จะนำมาแทนรวมถึง ราคาดีเซลตลาดสิงคโปร์คาดว่าราคาเฉลี่ยจะสูงไม่ต่ำกว่า 120-125 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และสิ่งที่น่าวิตกคือเมื่อรัฐบาลนี้วางมาตรฐานดีเซลไว้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรต่อไปรัฐบาลใหม่มาก็จะใช้วิธีประชาชนนิยมเช่นนี้อีก
       
       นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจากปิโตรเลียม กล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงเป็นขาขึ้นสูงถึง 2 เดือนดังนั้นเมื่อรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันแล้วควรจะต้องคำนึงว่าหาก น้ำมันขึ้นอีกจะมีกลไกใดมาดูแลและเห็นว่ากองทุนน้ำมันฯจะต้องมีบทบาทในการ ดูแลน้ำมันต่อไปเพื่อไม่ให้ผู้ค้าน้ำมันจะต้องมาแบกรับภาระแทน
       
      
       
       **ลดภาษีดีเซลเข้าที่ประชุม กนง.**
       รายงานข่าวระบุว่า สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังประเมินผลกระทบของมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซลว่าจะมีผลกระทบต่ออัตราเงิน เฟ้อทั้งอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอย่างไร โดย ธปท.คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะยังอยู่ในช่วงประมาณการเดิมของ ธปท.ที่ 2-3% แต่อาจจะต่ำกว่ากรณีฐาน ที่ ธปท.ประมาณการไว้เดิมว่าปีนี้เงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่ 2.5% แต่จะยังไม่หลุดจากประมาณการในด้านต่ำที่ไว้ที่ 2%
       
       อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 20 เม.ย.นี้ จะนำประเด็นการปรับลดภาษีน้ำมันดังกล่าวเสนอให้ กนง.พิจารณาเพื่อตัดสินการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายด้วย เพราะกระทบต่ออัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ ขึ้นกับ กนง.จะประเมินผลกระทบจากรณีนี้ว่าจะส่งผลต่อการคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชน ทันทีหรือไม่ และจะมีผลต่องบประมาณ และการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไปอย่างไร


ที่มา: http://manager.co.th


อ่าน : 1819 ครั้ง
วันที่ : 19/04/2011

Contact : V-SERVE GROUP 709/54-55 ถ.สุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง  กทม. 10250 โทรศัพท์. 0 2332 3940-9 โทรสาร. 0 2332 0754
E-mail: tanit@v-servegroup.com