สรุปประเด็นผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาทผู้ส่งออก
และข้อเสนอแนะดำเนินการช่วยเหลือผู้ส่งออก
วันที่ 10 กันยายน 2553 จัดโดยสายงานเศรษฐกิจและโลจิสติกส์
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
จากกรณีการแข็งค่าของเงินบาทมีปัจจัยภายนอกหลายประการช่วงตั้งแต่
สิงหาคม 2553 ซึ่งเกื้อหนุนส่งผลให้เงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินสหรัฐให้มีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2553 (อัตราซื้อ)แลกเปลี่ยนอยู่ที่
30.635 30.73 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเป็นอัตราที่แข็งค่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินบาท ในเดือนมกราคม 2553
อยู่ที่ระดับ 33.15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ พบว่า เงินบาทมีการแข็งค่าไปถึง 2.51
บาท/ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 8.34 ซึ่งเป็นอัตราแข็งค่าสูงสุดเป็นอันดับ
3 รองจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแข็งค่าร้อยละ 9.41 และอันดับ 2 เป็นของประเทศมาเลเซีย
แข็งค่าร้อยละ 9.24
อนึ่งฯ
หากเปรียบเทียบเฉพาะในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
จะพบว่าเงินบาทกลับมีการแข็งค่าเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาค เปรียบเทียบจาก(อัตราซื้อ)ค่าเงินบาท
ณ วันที่ 9 สิงหาคม อยู่ที่ 31.828 บาท/เหรียญสหรัฐ เทียบกับวันอังคารที่ 10 กันยายน
2553 อัตราซื้ออยู่ที่ 30.635 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน เงินบาทมีการแข็งค่าถึง
1.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 3.77
โดยมีประเทศมาเลเซียแข็งค่าเป็นอันดับ
2 ที่ อัตราร้อยละ 1.43 และประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับ 3 ที่อัตราแข็งค่าร้อยละ 1.36
ทั้งนี้เงินบาทของไทยยังแข็งค่ากว่าเงินหยวนของจีน ซึ่งแข็งค่าเพียง 0.03
และเงินวอนของเกาหลีที่ 0.23 สำหรับเงินด่องของเวียดนามอ่อนค่าร้อยละ -4.08 ด่อง /
เหรียญสหรัฐฯ และเงินฮ่องกงดอลล่าร์ก็อ่อนค่าร้อยละ 2.40 ทั้งนี้ เงินบาทในช่วง 1
เดือน ทำสถิติแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 13 ปี หากเป็นสัดส่วนเช่นนี้โอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าไปที่ระดับ
29.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐภายในปลายเดือนตุลาคม
2553 จะมีความเป็นไปได้สูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกมากกว่าที่เป็นอยู่ (ยกเว้น ธปท. มีมาตรการสกัดเงินไหลเข้าอย่างเป็นรูปธรรม)
อ่านเพิ่มเติมคลิกที่Linkไฟล์บทความ
" />
|
||||
|
||||
สรุปประเด็นผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาทผู้ส่งออกและข้อเสนอแนะดำเนินการช่วยเหลือผู้ส่งออก Shareสรุปประเด็นผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาทผู้ส่งออก
และข้อเสนอแนะดำเนินการช่วยเหลือผู้ส่งออก วันที่ 10 กันยายน 2553 จัดโดยสายงานเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จากกรณีการแข็งค่าของเงินบาทมีปัจจัยภายนอกหลายประการช่วงตั้งแต่
สิงหาคม 2553 ซึ่งเกื้อหนุนส่งผลให้เงินบาทเมื่อเทียบกับสกุลเงินสหรัฐให้มีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2553 (อัตราซื้อ)แลกเปลี่ยนอยู่ที่
30.635 30.73 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งเป็นอัตราที่แข็งค่ามาก เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินบาท ในเดือนมกราคม 2553
อยู่ที่ระดับ 33.15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ พบว่า เงินบาทมีการแข็งค่าไปถึง 2.51
บาท/ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 8.34 ซึ่งเป็นอัตราแข็งค่าสูงสุดเป็นอันดับ
3 รองจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแข็งค่าร้อยละ 9.41 และอันดับ 2 เป็นของประเทศมาเลเซีย
แข็งค่าร้อยละ 9.24 อนึ่งฯ
หากเปรียบเทียบเฉพาะในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
จะพบว่าเงินบาทกลับมีการแข็งค่าเป็นอันดับ 1 ของภูมิภาค เปรียบเทียบจาก(อัตราซื้อ)ค่าเงินบาท
ณ วันที่ 9 สิงหาคม อยู่ที่ 31.828 บาท/เหรียญสหรัฐ เทียบกับวันอังคารที่ 10 กันยายน
2553 อัตราซื้ออยู่ที่ 30.635 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเพียง 1 เดือน เงินบาทมีการแข็งค่าถึง
1.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 3.77
โดยมีประเทศมาเลเซียแข็งค่าเป็นอันดับ
2 ที่ อัตราร้อยละ 1.43 และประเทศญี่ปุ่นเป็นอันดับ 3 ที่อัตราแข็งค่าร้อยละ 1.36
ทั้งนี้เงินบาทของไทยยังแข็งค่ากว่าเงินหยวนของจีน ซึ่งแข็งค่าเพียง 0.03
และเงินวอนของเกาหลีที่ 0.23 สำหรับเงินด่องของเวียดนามอ่อนค่าร้อยละ -4.08 ด่อง /
เหรียญสหรัฐฯ และเงินฮ่องกงดอลล่าร์ก็อ่อนค่าร้อยละ 2.40 ทั้งนี้ เงินบาทในช่วง 1
เดือน ทำสถิติแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 13 ปี หากเป็นสัดส่วนเช่นนี้โอกาสที่เงินบาทจะแข็งค่าไปที่ระดับ
29.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐภายในปลายเดือนตุลาคม
2553 จะมีความเป็นไปได้สูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกมากกว่าที่เป็นอยู่ (ยกเว้น ธปท. มีมาตรการสกัดเงินไหลเข้าอย่างเป็นรูปธรรม) อ่านเพิ่มเติมคลิกที่Linkไฟล์บทความ ไฟล์ประกอบ : 023-สรุปประเด็นผลกระทบจากวิกฤตค่าเงินบาทผู้ส่งออก- อ่าน : 2012 ครั้ง วันที่ : 16/09/2010 |
||||
|