รายงานสภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์

รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

25 กุมภาพันธ์ 2552

                                               

เป็นที่ทราบถึงผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยล่าสุด IMF ได้ปรับตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจของโลก ในปี 2009 ว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.5 – (-0.5) จากอัตราเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ซึ่งนับว่าต่ำสุดในรอบ 30 ปี ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก IMF คาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาไปจนถึงปลายปีนี้ โดยการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับมาตรการของประเทศคู่ค้าของไทยว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วหรือช้าเพียงใด โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา , สหภาพยุโรป และประเทศญี่ปุ่น เศรษฐกิจมีการถดถอยไปที่ร้อยละ     -2.3, -2.5 , -3.0 ตามลำดับ ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนเป็นสัดส่วนการส่งออกของไทยถึงร้อยละ 35.6 นอกจากนี้ ประเทศคู่ค้าของไทย เช่น จีน และประเทศในกลุ่มอาเซียนและประเทศเศรษฐกิจใหม่ ล้วนเศรษฐกิจก็อยู่ในสภาวะชะลอตัวทั้งสิ้น

 

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย

ประเทศ

Q1-Q2 2009 (%)

สัดส่วน Export /Q1/2009 (%)

สหรัฐอเมริกา

-2.3

35.6%

11.3

ยูโร

-2.5

12.4

ญี่ปุ่น

-3.0

11.9

อังกฤษ

-3.2

 

จีน

6.7

7.9

มาเลเซีย

1.4

 

สิงคโปร์

-3.8

 

ฟิลิปปินส์

2.4

21.2

เวียดนาม

5.1

 

อินโดนีเซีย

4.0

 

ไทย

1.1

 

เกาหลีใต้

-3.5

 

ไต้หวัน

-3.0

2.0

ฮ่องกง

-3.8

5.8

อินเดีย

5.6%

1.6

ตลาดใหม่

 

16.3

            สัญญาณครึ่งปีแรกของปี 2552 เศรษฐกิจของไทยจะเข้าสู่ยุคชะลอตัวอย่างรุนแรง โดยเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ปีที่แล้ว การส่งออกติดลบถึงเฉลี่ยร้อยละ -16.35 และการส่งออกในเดือนมกราคม 2552 ติดลบมากกว่าร้อยละ -26.5 การที่ตัวเลขภาคการส่งออกมีการถดถอยรุนแรง ส่งผลต่อภาคการนำเข้าและภาคการผลิตในประเทศ โดยในเดือนธันวาคม พบว่าคำสั่งซื้อลดลงเหลือเพียงร้อยละ 50 และอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเกือบทุกสาขา โดยดัชนีอัตราการใช้กำลังการผลิต หรือ MPI เดือนธันวาคม เหลือเพียงร้อยละ 53.02 ทำให้อัตราการขยายตัวเทียบกับเดือนเดียวกันกับปีก่อนติดลบ -19.63 นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CPI) มีการหดตัว -0.4 ถือว่าต่ำสุดในรอบ 9 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณความเสี่ยงที่ไม่ดี ที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอย  ทั้งนี้ เมื่อบวกกับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไตรมาสแรกของปี 2552 ซึ่งคาดว่าจะติดลบ หากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ได้ผลเศรษฐกิจในปีนี้อาจจะโตได้เพียงร้อยละ 0.5 ถึง -0.5% จากที่เคยเติบโตในปี 2551 ที่อัตราร้อยละ 2.6 โดยการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวติดลบที่ -13.1 มูลค่า 152.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่เคยขยายตัวในปี 2551 ที่ร้อยละ 16.8 มูลค่า 175.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ (ที่มา : สศช. วันที่ 25 กพ.2552) อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ลดลง 1% มีผลต่อจำนวนคนว่างงานประมาณ 1.12 แสนคน ดังนั้น อัตราว่างงานของปี 2552 อาจอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.5 – 3.0 จากอัตราต้นปี 2551 ที่ร้อยละ 1.2 โดยปริมาณจำนวนคนว่างงานอาจทะลุเกินหลัก 1 ล้านคน นอกจากนี้ สัญญาณเงินตึงตัวทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น เห็นได้จากการขาดดุลงบประมาณปี 2552 อาจสูงถึง 350,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการเก็บภาษีไม่เข้าเป้ากว่าร้อยละ 10 ทำให้รัฐบาลต้องมีการกู้ยืมเงินจาก ADB และ World Bank 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะต้องออกพันธบัตรอีกกว่า 200,000 ล้านบาท เป็นการแยกสภาพคล่องในตลาดการเงินของภาคเอกชน ซึ่งมีปัญหาที่ภาคธนาคารเพิ่มมาตรการระมัดระวังและเลือกลูกค้าในการปล่อยสินเชื่อ อีกทั้ง แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจอาจไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในง่อย เนื่องจากรัฐบาลขาดสภาพคล่องและมีเม็ดเงินไม่เพียงพอที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ

" />
       
 

รายงานสภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบต่อภาคธุรกิจ Share


รายงานสภาวะเศรษฐกิจและผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์

รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

25 กุมภาพันธ์ 2552

                                               

เป็นที่ทราบถึงผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจของไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก โดยล่าสุด IMF ได้ปรับตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจของโลก ในปี 2009 ว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.5 – (-0.5) จากอัตราเฉลี่ยร้อยละ 3.3 ซึ่งนับว่าต่ำสุดในรอบ 30 ปี ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก IMF คาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาไปจนถึงปลายปีนี้ โดยการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับมาตรการของประเทศคู่ค้าของไทยว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วหรือช้าเพียงใด โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา , สหภาพยุโรป และประเทศญี่ปุ่น เศรษฐกิจมีการถดถอยไปที่ร้อยละ     -2.3, -2.5 , -3.0 ตามลำดับ ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนเป็นสัดส่วนการส่งออกของไทยถึงร้อยละ 35.6 นอกจากนี้ ประเทศคู่ค้าของไทย เช่น จีน และประเทศในกลุ่มอาเซียนและประเทศเศรษฐกิจใหม่ ล้วนเศรษฐกิจก็อยู่ในสภาวะชะลอตัวทั้งสิ้น

 

อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย

ประเทศ

Q1-Q2 2009 (%)

สัดส่วน Export /Q1/2009 (%)

สหรัฐอเมริกา

-2.3

35.6%

11.3

ยูโร

-2.5

12.4

ญี่ปุ่น

-3.0

11.9

อังกฤษ

-3.2

 

จีน

6.7

7.9

มาเลเซีย

1.4

 

สิงคโปร์

-3.8

 

ฟิลิปปินส์

2.4

21.2

เวียดนาม

5.1

 

อินโดนีเซีย

4.0

 

ไทย

1.1

 

เกาหลีใต้

-3.5

 

ไต้หวัน

-3.0

2.0

ฮ่องกง

-3.8

5.8

อินเดีย

5.6%

1.6

ตลาดใหม่

 

16.3

            สัญญาณครึ่งปีแรกของปี 2552 เศรษฐกิจของไทยจะเข้าสู่ยุคชะลอตัวอย่างรุนแรง โดยเห็นได้จากตัวเลขการส่งออกเดือนพฤศจิกายน และธันวาคม ปีที่แล้ว การส่งออกติดลบถึงเฉลี่ยร้อยละ -16.35 และการส่งออกในเดือนมกราคม 2552 ติดลบมากกว่าร้อยละ -26.5 การที่ตัวเลขภาคการส่งออกมีการถดถอยรุนแรง ส่งผลต่อภาคการนำเข้าและภาคการผลิตในประเทศ โดยในเดือนธันวาคม พบว่าคำสั่งซื้อลดลงเหลือเพียงร้อยละ 50 และอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงเกือบทุกสาขา โดยดัชนีอัตราการใช้กำลังการผลิต หรือ MPI เดือนธันวาคม เหลือเพียงร้อยละ 53.02 ทำให้อัตราการขยายตัวเทียบกับเดือนเดียวกันกับปีก่อนติดลบ -19.63 นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CPI) มีการหดตัว -0.4 ถือว่าต่ำสุดในรอบ 9 ปี ซึ่งเป็นสัญญาณความเสี่ยงที่ไม่ดี ที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอย  ทั้งนี้ เมื่อบวกกับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไตรมาสแรกของปี 2552 ซึ่งคาดว่าจะติดลบ หากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ได้ผลเศรษฐกิจในปีนี้อาจจะโตได้เพียงร้อยละ 0.5 ถึง -0.5% จากที่เคยเติบโตในปี 2551 ที่อัตราร้อยละ 2.6 โดยการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวติดลบที่ -13.1 มูลค่า 152.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ จากที่เคยขยายตัวในปี 2551 ที่ร้อยละ 16.8 มูลค่า 175.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ (ที่มา : สศช. วันที่ 25 กพ.2552) อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจที่ลดลง 1% มีผลต่อจำนวนคนว่างงานประมาณ 1.12 แสนคน ดังนั้น อัตราว่างงานของปี 2552 อาจอยู่ที่อัตราร้อยละ 2.5 – 3.0 จากอัตราต้นปี 2551 ที่ร้อยละ 1.2 โดยปริมาณจำนวนคนว่างงานอาจทะลุเกินหลัก 1 ล้านคน นอกจากนี้ สัญญาณเงินตึงตัวทั้งภาครัฐและเอกชนเริ่มเห็นชัดเจนขึ้น เห็นได้จากการขาดดุลงบประมาณปี 2552 อาจสูงถึง 350,000 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากการเก็บภาษีไม่เข้าเป้ากว่าร้อยละ 10 ทำให้รัฐบาลต้องมีการกู้ยืมเงินจาก ADB และ World Bank 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจะต้องออกพันธบัตรอีกกว่า 200,000 ล้านบาท เป็นการแยกสภาพคล่องในตลาดการเงินของภาคเอกชน ซึ่งมีปัญหาที่ภาคธนาคารเพิ่มมาตรการระมัดระวังและเลือกลูกค้าในการปล่อยสินเชื่อ อีกทั้ง แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลอาจอาจไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในง่อย เนื่องจากรัฐบาลขาดสภาพคล่องและมีเม็ดเงินไม่เพียงพอที่จะเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ


ไฟล์ประกอบ : 012-2009.pdf
อ่าน : 2149 ครั้ง
วันที่ : 18/02/2009

Contact : V-SERVE GROUP 709/54-55 ถ.สุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง  กทม. 10250 โทรศัพท์. 0 2332 3940-9 โทรสาร. 0 2332 0754
E-mail: tanit@v-servegroup.com