บทความพิเศษ..สายงานโลจิสติกส์

วิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกา..จะทำให้เศรษฐกิจโลกสู่ยุคถดถอยหรือไม่..(2)

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์

รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

15 ตุลาคม 2551

          เศรษฐกิจทางการเงินที่เกิดขึ้นในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นวิกฤติทางการเงินของโลกที่มีความรุนแรงเปรียบเทียบใกล้เคียงกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 1929  ที่เรียกว่า “The Great Depression” วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้มีผลสืบเนื่องมาจากการที่เกิดวิกฤติทางด้านการเงินของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสินทรัพย์ที่จดจำนองกับสถาบันการเงินมีค่าต่ำกว่าราคาประเมินตามความจริง อันนำไปสู่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินด้อยคุณภาพ ที่เรียกว่า Sub-Prime  เมื่อฟองสบู่ในสหรัฐฯแตก หรือที่เรียกว่า Hamburger Crisis ที่เกิดในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม 2550 ผลของหนี้สินของสถาบันการเงินที่กลายเป็นหนี้เน่า (Toxic Asset) ก่อให้เกิดวิกฤติทางสินเชื่ออันนำไปสู่การลดสภาพคล่องของสถาบันการเงิน ส่งผลต่อความขาดความเชื่อมั่น ทำให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา มีการล้มละลายและหรือต้องมีการขายธุรกิจ เช่น แบร์เสติน , แฟนนี เมย์ , แฟนนี แม็ค และเมื่อช่วงเดือนกันยายน 2551 สถาบันการเงินขนาดใหญ่ ได้แก่ เรย์แมนบราเดอร์ มีหนี้สินถึง 6.13 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ถึงขั้นล้มละลาย ตามมาด้วย สถาบันประกันภัยการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ AIG ขาดสภาพคล่องจนธนาคารกลางของสหรัฐฯ ต้องอัดฉีดเงิน 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพื่อเข้าถือหุ้น 79.9% นอกจากนี้พาณิชธนกิจขนาดใหญ่ เช่น Morgan Stanley และ Goldman sack ขาดสภาพคล่อง จนที่สุดธนาคาร       มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ของญี่ปุ่นต้องเข้าซื้อหุ้นกว่า 25%

วิกฤติการเงินของสหรัฐฯ ได้แพร่ระบาดกลายเป็นวิกฤติการเงินและเศรษฐกิจของโลกที่เรียกว่า Global Credit Crunch ทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งในยุโรป อังกฤษ และญี่ปุ่นได้รับผลกระทบ เช่น การที่ธนาคาร Halifax Bank of Scotland : SBOS ต้องควบรวมกับธนาคารของอังกฤษ และในประเทศเยอรมันต้องอัดฉีดสภาพคล่องกว่า 50,000 ล้านยูโร ให้กับธนาคาร ไฮโป เรียลเอสเตท และรัฐบาลของเยอรมันต้องออกมาประกันเงินฝากทั้งระบบกว่า 6.93 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับผู้ฝากธนาคารเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ได้อัดฉีดเข้าสู่ระบบสภาพคล่องกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งประเมินกันว่าเฉพาะในยุโรปอาจต้องมีการอัดฉีดกว่า 350,000 ล้านยูโร ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ได้มีการประชุมประเทศในกลุ่ม G7 เพื่อวางมาตรการการรับมือกับวิกฤติทางการเงินที่ลุกลามเข้าไปในตลาดหุ้น ที่เรียกว่า “Black Friday” (วันที่ 10 ตุลาคม) ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงกว่า 30-40% ผลของข้อตกลง G7 ซึ่งประกอบด้วย ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อิตาลี , เยอรมัน , ฝรั่งเศส , อังกฤษ  รวมถึงประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเข้าแทรกแซงสถาบันการเงินที่มีปัญหา โดยการค้ำประกันเงินฝากและปล่อยเงินกู้ให้กับสถาบันการเงินที่ขาดสภาพคล่อง ผลของข้อตกลงทำให้หลายประเทศต่างออกมาตรการในการรับมือไม่ให้วิกฤติการเงินไม่ให้แพร่กระจายไปมากกว่านี้ อาทิเช่น รัฐบาลอังกฤษอัดฉีดเงินเสริมสภาพคล่องและประกันเงินฝากด้วยเงิน 691,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ , รัฐบาลเยอรมันใช้เงิน 400,000 ล้านยูโร ส่วนประเทศญี่ปุ่นใช้เงินอัดฉีดสภาพคล่องประมาณ 29.5 ล้านล้านเยน  รวมทั้ง ประเทศไทยก็มีการออก 6 มาตรการวงเงิน 1.22 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศเกาหลี ซึ่งได้รับผลกระทบ มีการตั้งกองทุนเอเชีย 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ข้อตกลงของประเทศ G7เป็นการนำทุนสำรองของแต่ละประเทศมาอัดฉีดสภาพคล่องสถาบันการเงินเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน

          ในกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาได้มีการออกกฎหมาย เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินที่มีปัญหา ที่เรียกว่า Emergency Economic Stabilization  หรือ “กฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจฉุกเฉินด้านการเงิน” ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาถึง 2 รอบ จึงสามารถผ่านสภาคองเกรส สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ จะเป็นการอัดฉีดเงิน 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซื้อหุ้นของสถาบันการเงินที่มีปัญหา ด้วยวิธี Asset Financing โดยให้กระทรวงการคลังและธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) สามารถนำเงินเข้าไปอัดฉีดสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในการเข้าไปซื้อหุ้นหรือเข้าไปอัดฉีดในสถาบันการเงินที่มีปัญหา โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ถือหุ้นและจะได้บุริมสิทธิ์ในฐานะเงินปันผล และในกรณีการขาดทุนจะได้รับการขาดทุนเป็นรายหลังสุด โดยรัฐสภาจะเป็นผู้กำกับดูแลโครงการ โดยจะมีส่วนแบ่งกำไรในกรณีที่สถาบันการเงืนฟื้นตัวให้กับผู้เสียภาษีของประเทศสหรัฐฯ ทั้งนี้ กฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่า Rescue Law ได้รับการวิพากษ์ว่าใช้เม็ดเงินเข้าไปซื้อหุ้นในสถาบันการเงิน ที่มีปัญหา อาจไม่เพียงพอ เพราะคาดว่าผลกระทบของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ อาจจะใช้เงินมากกว่า 1.8 – 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากยังมีสถาบันการเงินอีกนับเป็นร้อยแห่งของสหรัฐฯ ที่มีสินทรัพย์ที่เสื่อมราคา (Asset Price Inflation) แต่ไม่ได้อยู่ในแผนฟื้นฟู ซึ่งโดยส่วนใหญ่เน้นไปให้ในตลาดทุนในตลาดนิวยอร์ก แต่ผลกระทบได้ลามไปถึงหลายรัฐทั่วประเทศ

ทั้งนี้ แผนฟื้นฟูได้รับการวิพากษ์ว่าแนวทางแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะเน้นเข้าไปซื้อหนี้และเข้าไปถือหุ้นในบางบริษัท คือเป็น Asset Financing แต่ไม่ได้เข้าไปผ่าตัดทั้งระบบ  รวมถึงการลดทุน เหมือนกับที่ IMF ได้เคยทำกับประเทศไทย และมองว่าเข้าไปช่วยเหลือเฉพาะในสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับผู้นำของรัฐ ซึ่งทำให้ประชาชนของสหรัฐฯไม่ค่อยพอใจกับแผนฟื้นฟูครั้งนี้มากนัก นอกจากนี้ ประเทศ G7 ต้องออกมาตรการด้วยการพร้อมใจกันอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างขนาดใหญ่จนทำให้สถานการณ์ ช่วงวันที่ 13 ตุลาคม ตลาดหุ้นจึงเริ่มกลับมาแนวบวก อย่างไรก็ดี แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐฯและกลุ่มประเทศ G7 ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับตลาดหุ้นได้มากนัก โดยในช่วง 2-3 วันแรกราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างแรงก่อนที่จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง แต่ก็เป็นระยะที่สั้นเกินไปที่จะบอกว่าการอัดฉีดเงินของสหรัฐฯและประเทศ G7 จะเป็นผลให้วิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของโลกยุติลง ได้ผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้วหรือยัง

" />
       
 

วิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกา..จะทำให้เศรษฐกิจโลกสู่ยุคถดถอยหรือไม่. Share


บทความพิเศษ..สายงานโลจิสติกส์

วิกฤติการเงินของสหรัฐอเมริกา..จะทำให้เศรษฐกิจโลกสู่ยุคถดถอยหรือไม่..(2)

โดย ดร.ธนิต โสรัตน์

รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

15 ตุลาคม 2551

          เศรษฐกิจทางการเงินที่เกิดขึ้นในปัจจุบันถือได้ว่าเป็นวิกฤติทางการเงินของโลกที่มีความรุนแรงเปรียบเทียบใกล้เคียงกับวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 1929  ที่เรียกว่า “The Great Depression” วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้มีผลสืบเนื่องมาจากการที่เกิดวิกฤติทางด้านการเงินของสหรัฐอเมริกา ซึ่งสินทรัพย์ที่จดจำนองกับสถาบันการเงินมีค่าต่ำกว่าราคาประเมินตามความจริง อันนำไปสู่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินด้อยคุณภาพ ที่เรียกว่า Sub-Prime  เมื่อฟองสบู่ในสหรัฐฯแตก หรือที่เรียกว่า Hamburger Crisis ที่เกิดในช่วงประมาณเดือนสิงหาคม 2550 ผลของหนี้สินของสถาบันการเงินที่กลายเป็นหนี้เน่า (Toxic Asset) ก่อให้เกิดวิกฤติทางสินเชื่ออันนำไปสู่การลดสภาพคล่องของสถาบันการเงิน ส่งผลต่อความขาดความเชื่อมั่น ทำให้สถาบันการเงินขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา มีการล้มละลายและหรือต้องมีการขายธุรกิจ เช่น แบร์เสติน , แฟนนี เมย์ , แฟนนี แม็ค และเมื่อช่วงเดือนกันยายน 2551 สถาบันการเงินขนาดใหญ่ ได้แก่ เรย์แมนบราเดอร์ มีหนี้สินถึง 6.13 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ถึงขั้นล้มละลาย ตามมาด้วย สถาบันประกันภัยการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ AIG ขาดสภาพคล่องจนธนาคารกลางของสหรัฐฯ ต้องอัดฉีดเงิน 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพื่อเข้าถือหุ้น 79.9% นอกจากนี้พาณิชธนกิจขนาดใหญ่ เช่น Morgan Stanley และ Goldman sack ขาดสภาพคล่อง จนที่สุดธนาคาร       มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ของญี่ปุ่นต้องเข้าซื้อหุ้นกว่า 25%

วิกฤติการเงินของสหรัฐฯ ได้แพร่ระบาดกลายเป็นวิกฤติการเงินและเศรษฐกิจของโลกที่เรียกว่า Global Credit Crunch ทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งในยุโรป อังกฤษ และญี่ปุ่นได้รับผลกระทบ เช่น การที่ธนาคาร Halifax Bank of Scotland : SBOS ต้องควบรวมกับธนาคารของอังกฤษ และในประเทศเยอรมันต้องอัดฉีดสภาพคล่องกว่า 50,000 ล้านยูโร ให้กับธนาคาร ไฮโป เรียลเอสเตท และรัฐบาลของเยอรมันต้องออกมาประกันเงินฝากทั้งระบบกว่า 6.93 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้กับผู้ฝากธนาคารเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่น นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ได้อัดฉีดเข้าสู่ระบบสภาพคล่องกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งประเมินกันว่าเฉพาะในยุโรปอาจต้องมีการอัดฉีดกว่า 350,000 ล้านยูโร ในช่วงต้นเดือนตุลาคม ได้มีการประชุมประเทศในกลุ่ม G7 เพื่อวางมาตรการการรับมือกับวิกฤติทางการเงินที่ลุกลามเข้าไปในตลาดหุ้น ที่เรียกว่า “Black Friday” (วันที่ 10 ตุลาคม) ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงกว่า 30-40% ผลของข้อตกลง G7 ซึ่งประกอบด้วย ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อิตาลี , เยอรมัน , ฝรั่งเศส , อังกฤษ  รวมถึงประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจะให้รัฐบาลของแต่ละประเทศเข้าแทรกแซงสถาบันการเงินที่มีปัญหา โดยการค้ำประกันเงินฝากและปล่อยเงินกู้ให้กับสถาบันการเงินที่ขาดสภาพคล่อง ผลของข้อตกลงทำให้หลายประเทศต่างออกมาตรการในการรับมือไม่ให้วิกฤติการเงินไม่ให้แพร่กระจายไปมากกว่านี้ อาทิเช่น รัฐบาลอังกฤษอัดฉีดเงินเสริมสภาพคล่องและประกันเงินฝากด้วยเงิน 691,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ , รัฐบาลเยอรมันใช้เงิน 400,000 ล้านยูโร ส่วนประเทศญี่ปุ่นใช้เงินอัดฉีดสภาพคล่องประมาณ 29.5 ล้านล้านเยน  รวมทั้ง ประเทศไทยก็มีการออก 6 มาตรการวงเงิน 1.22 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ประเทศเกาหลี ซึ่งได้รับผลกระทบ มีการตั้งกองทุนเอเชีย 80,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ข้อตกลงของประเทศ G7เป็นการนำทุนสำรองของแต่ละประเทศมาอัดฉีดสภาพคล่องสถาบันการเงินเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน

          ในกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาได้มีการออกกฎหมาย เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินที่มีปัญหา ที่เรียกว่า Emergency Economic Stabilization  หรือ “กฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจฉุกเฉินด้านการเงิน” ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาถึง 2 รอบ จึงสามารถผ่านสภาคองเกรส สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ จะเป็นการอัดฉีดเงิน 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซื้อหุ้นของสถาบันการเงินที่มีปัญหา ด้วยวิธี Asset Financing โดยให้กระทรวงการคลังและธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) สามารถนำเงินเข้าไปอัดฉีดสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในการเข้าไปซื้อหุ้นหรือเข้าไปอัดฉีดในสถาบันการเงินที่มีปัญหา โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ถือหุ้นและจะได้บุริมสิทธิ์ในฐานะเงินปันผล และในกรณีการขาดทุนจะได้รับการขาดทุนเป็นรายหลังสุด โดยรัฐสภาจะเป็นผู้กำกับดูแลโครงการ โดยจะมีส่วนแบ่งกำไรในกรณีที่สถาบันการเงืนฟื้นตัวให้กับผู้เสียภาษีของประเทศสหรัฐฯ ทั้งนี้ กฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจ หรือที่เรียกว่า Rescue Law ได้รับการวิพากษ์ว่าใช้เม็ดเงินเข้าไปซื้อหุ้นในสถาบันการเงิน ที่มีปัญหา อาจไม่เพียงพอ เพราะคาดว่าผลกระทบของเศรษฐกิจในสหรัฐฯ อาจจะใช้เงินมากกว่า 1.8 – 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากยังมีสถาบันการเงินอีกนับเป็นร้อยแห่งของสหรัฐฯ ที่มีสินทรัพย์ที่เสื่อมราคา (Asset Price Inflation) แต่ไม่ได้อยู่ในแผนฟื้นฟู ซึ่งโดยส่วนใหญ่เน้นไปให้ในตลาดทุนในตลาดนิวยอร์ก แต่ผลกระทบได้ลามไปถึงหลายรัฐทั่วประเทศ

ทั้งนี้ แผนฟื้นฟูได้รับการวิพากษ์ว่าแนวทางแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะเน้นเข้าไปซื้อหนี้และเข้าไปถือหุ้นในบางบริษัท คือเป็น Asset Financing แต่ไม่ได้เข้าไปผ่าตัดทั้งระบบ  รวมถึงการลดทุน เหมือนกับที่ IMF ได้เคยทำกับประเทศไทย และมองว่าเข้าไปช่วยเหลือเฉพาะในสถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับผู้นำของรัฐ ซึ่งทำให้ประชาชนของสหรัฐฯไม่ค่อยพอใจกับแผนฟื้นฟูครั้งนี้มากนัก นอกจากนี้ ประเทศ G7 ต้องออกมาตรการด้วยการพร้อมใจกันอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างขนาดใหญ่จนทำให้สถานการณ์ ช่วงวันที่ 13 ตุลาคม ตลาดหุ้นจึงเริ่มกลับมาแนวบวก อย่างไรก็ดี แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจของสหรัฐฯและกลุ่มประเทศ G7 ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้กับตลาดหุ้นได้มากนัก โดยในช่วง 2-3 วันแรกราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างแรงก่อนที่จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง แต่ก็เป็นระยะที่สั้นเกินไปที่จะบอกว่าการอัดฉีดเงินของสหรัฐฯและประเทศ G7 จะเป็นผลให้วิกฤติเศรษฐกิจและการเงินของโลกยุติลง ได้ผ่านจุดที่เลวร้ายที่สุดแล้วหรือยัง


ไฟล์ประกอบ : 184-TNT.pdf
อ่าน : 2567 ครั้ง
วันที่ : 16/10/2008

Contact : V-SERVE GROUP 709/54-55 ถ.สุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง  กทม. 10250 โทรศัพท์. 0 2332 3940-9 โทรสาร. 0 2332 0754
E-mail: tanit@v-servegroup.com