โดย ดร.ธนิต โสรัตน์
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ผลิตมวลรวมประชาชาติหรือ GDP ของประเทศไทยกว่าประมาณ 90% อยู่ในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งกลไกการค้าถูกกำหนดด้วยระบบโลกาภิวัฒน์ (Globalization) อันเป็นผลจากกติกาการค้าโลกภายใต้ WTO : World Trade Organization รวมถึงการเปิดเสรีทางการค้า (FTA : Free Trade Agreement) โดยเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องพึ่งพิงกับการส่งออกในฐานะเป็น Export Oriented Country ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยต้องมีการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง ซึ่งการค้าระหว่างประเทศภายใต้การค้าเสรีจะต้องมีขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในระดับภาคธุรกิจและในระดับประเทศ จำเป็นที่ภาคเศรษฐกิจของไทยจะต้องพยายามปรับปรุงวิธีการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใต้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด ขณะที่คุณภาพจะต้องมีการปรับปรุงให้สูงขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น การจัดการด้านโลจิสติกส์จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างสมรรถนะในการแข่งขัน และใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการส่งออก ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ทุกรัฐบาลได้ใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ โดยจะเห็นได้ว่าในอดีต การส่งออกในปี 2538 เป็นร้อยละ 33.6 ของ GDP ในขณะที่ในปี 2546 เพิ่มเป็นร้อยละ 56.1 ต่อ GDP และปี 2551 ประมาณร้อยละ 67 ของ GDP
โลจิสติกส์ปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ
จากการที่ประเทศไทยยอมรับพันธะกรณีของ WTO และ FTA ทำให้จะต้องมียุทธศาสตร์ทั้งเชิงรับและเชิงรุก ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยการเสริมสร้างให้ภาคการผลิตจะต้องมีต้นทุนที่สามารถปกป้องธุรกิจภายในและสามารถแข่งขันได้ในตลาดของโลก เนื่องจากหากภาคเอกชนมีความเข้มแข็ง ประเทศก็มั่นคง โดยปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในอนาคต ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องมียุทธศาสตร์การพัฒนาโลจิสติกส์ของชาติ (Strategic Agenda) โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์ในภาคการผลิต ภาคธุรกิจ และภาคเกษตร โดยการพัฒนาธุรกิจผู้ให้บริการโลจิสติกส์ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ และยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการอำนวยความสะดวกทางการค้า รวมถึงการพัฒนากำลังคนและกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ซึ่งทิศทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ควรจะประกอบด้วย
นโยบายการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เป็นวาระแห่งชาติ
นโยบายการเปลี่ยนโหมดขนส่งประหยัดพลังงาน
นโยบายสนับสนุนพลังงานทางเลือก
แก้ไขระเบียบ-กฎหมายที่เป็นอุปสรรค
การประยุกต์โลจิสติกส์ไปสู่การปฏิบัติจริงในภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม
การพัฒนาองค์ความรู้โลจิสติกส์ให้กับ SME และธุรกิจในต่างจังหวัดให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน
นอกจากนี้ ประเทศไทยจะต้องมีการพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ในประเทศให้เชื่อมโยงอย่างบูรณาการ (Chain Network Integration) ทั้งเครือข่ายภายในและการเชื่อมต่อไปสู่ต่างประเทศทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก โดยการพัฒนาระบบการขนส่งเชื่อมโยงหลายรูปแบบ (Intermodal Transport) ระบบการขนส่งสนับสนุน (Feeder) ทางด่วนพิเศษ (Motorway) รวมทั้งศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า ทั้งในหัวเมืองที่สำคัญและจังหวัดที่อยู่ในเส้นทางเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตามภาครัฐจะต้องเร่งสนับสนุนการใช้รูปแบบและวิธีการบริหารจัดการขนส่งเพื่อการประหยัดพลังงาน (Transport Management for Energy Saving) รวมทั้ง การมีแผนแม่บทการใช้พลังงานทางเลือก เช่น การปรับเปลี่ยนการใช้เครื่องยนต์ NGV ซึ่งมีความประหยัดกว่าการใช้น้ำมันดีเซลประมาณร้อยละ 40-50 โดยจะต้องมีแผนแม่บทที่ชัดเจนในการที่จะปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ โดยทั้งภาครัฐ ภาคการเงิน โดยฉพาะ ปตท. จะต้องมีโครงการร่วมมือเงินกู้หรือกองทุนการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ NGV ให้กับภาคขนส่งอย่างน้อยเพิ่มจากสัดส่วนการใช้น้ำมัน NGV จากร้อยละ 5 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 20 ในปี 2555 นอกจากนี้ การสนับสนุนให้มีการใช้ไบโอดีเซล จากระดับ B2 ไปสู่ B20 ให้ได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ การลดต้นทุนโลจิสติกส์ที่ขับเคลื่อนเป็นจริงได้ จะต้องเกิดจากการผลักดันโดยภาคธุรกิจ โดยการลดต้นทุนสินค้าคงคลัง ซึ่งเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 44.14 ของต้นทุนรวมโลจิสติกส์ ซึ่งบริษัทข้ามชาติและประเทศที่พัฒนาแล้ว สัดส่วนสินค้าคงคลังจะอยู่ที่ประมาณไม่เกินร้อยละ 20 โดยทางวิชาการถือว่าสินค้าคงคลังเป็นต้นทุนที่ไม่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งธุรกิจของคนไทยค่าใช้จ่ายหนึ่งในสาม จะไปอยู่ในสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ ภาคธุรกิจจะต้องมีวิธีการบริหารจัดการการขนส่งเที่ยวเปล่าหรือที่เรียกว่า Backhaul ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 46 ของการขนส่งโดยรวม ดังนั้น การลดต้นทุนโลจิสติกส์ของภาคธุรกิจ จำเป็นจะต้องผสมผสานระบบการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Just in Time Management หรือระบบ Lean Pull Production มาใช้ผสมผสานในกระบวนการผลิตและการส่งมอบสินค้า ซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยโครงข่ายเชื่อมโยงขนส่ง Land Rail - Sea โดยทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องมีนโยบายและแผนการในการเปลี่ยนโหมดการขนส่งให้สามารถผสมผสานทั้งทางถนน ทางน้ำ และทางราง ที่เรียกว่าการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport)
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโลจิสติกส์ของไทยมีความก้าวหน้าค่อนข้างช้าอยู่ตรงที่ต่างหน่วยงานก็จะมีแผนของตนเอง ไม่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการดูแล ในปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐบาลที่ทำหน้าที่ในการดูแลโลจิสติกส์ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งพบว่าแผนงานของหลายหน่วยงานของรัฐไม่มีการเชื่อมโยงกันและบางครั้งก็จะไม่มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งเกิดจากการที่ไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าของเรื่องแม้แต่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็เป็นเพียงผู้ประสานงาน โดยแต่ละกระทรวงก็จะทำหน้าที่ในการควบคุมงานด้านโลจิสติกส์แต่ละส่วนแยกกันไป นอกจากนี้ สถานภาพการพัฒนาระบบ โลจิสติกส์ของไทยในปัจจุบัน ไม่มีการบูรณาการเป้าหมายของแผน โดยการปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐบางหน่วยงานมีการซ้ำซ้อนกันหรือแข่งขันกัน จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานะของการเมืองและการกดดันผ่านองค์กรต่างๆ ก่อให้เกิดการวางแผนงบประมาณและการใช้งบประมาณที่ขาดทิศทาง การไม่มีนโยบายโลจิสติกส์ที่ชัดเจนและไม่มีกลไกในการผลักดันนโยบาย ทำให้การทำงานของหน่วยงานของรัฐขาดบูรณาการเป็นลักษณะต่างคนต่างทำขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน จึงทำให้ขาดการเชื่อมต่อระบบและโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไม่สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นควรจะเร่งจัดตั้งหน่วยงาน ให้มีหน้าที่เป็นแกนหลักหรือเจ้าภาพเพราะปัจจุบันมีกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์อยู่หลายกระทรวง เช่น ของการพัฒนาโลจิสติกส์ กระทรวงคมนาคม, กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ก็มีแผนงานและงบประมาณในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ขณะที่การค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านก็มีกระทรวงมหาดไทย , กระทรวงต่างประเทศ , กระทรวงการคลัง เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่รวมกระทรวงสาธารณสุข , กระทรวงเกษตร ซึ่งดูแลด้านสุขอนามัยของสินค้าที่มีการนำเข้าส่งออกและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ผลิตบุคลากรโลจิสติกส์ และกระทรวง ICT ซึ่งดูแลระบบเครือข่ายอิเล็คโทรนิกส์ โดยแต่ละกระทรวงไม่มีความบูรณาการของแผนและเป้าหมาย ดังนั้น การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย จำเป็นที่จะต้องมีนโยบายการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เป็นวาระแห่งชาติ รวมถึง การบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน หากเป็นเช่นนี้ได้ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ก็คงจะมีความก้าวหน้า...
|
||||
|
||||
การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ Shareการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของไทย โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผลิตมวลรวมประชาชาติหรือ GDP ของประเทศไทยกว่าประมาณ 90% อยู่ในภาคอุตสาหกรรมและบริการ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งกลไกการค้าถูกกำหนดด้วยระบบโลกาภิวัฒน์ (Globalization) อันเป็นผลจากกติกาการค้าโลกภายใต้ WTO : World Trade Organization รวมถึงการเปิดเสรีทางการค้า (FTA : Free Trade Agreement) โดยเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องพึ่งพิงกับการส่งออกในฐานะเป็น Export Oriented Country ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยต้องมีการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง ซึ่งการค้าระหว่างประเทศภายใต้การค้าเสรีจะต้องมีขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งในระดับภาคธุรกิจและในระดับประเทศ จำเป็นที่ภาคเศรษฐกิจของไทยจะต้องพยายามปรับปรุงวิธีการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นภายใต้ต้นทุนที่ต่ำที่สุด ขณะที่คุณภาพจะต้องมีการปรับปรุงให้สูงขึ้นตลอดเวลา ดังนั้น การจัดการด้านโลจิสติกส์จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างสมรรถนะในการแข่งขัน และใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มความสามารถในการส่งออก ซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ทุกรัฐบาลได้ใช้เป็นเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ โดยจะเห็นได้ว่าในอดีต การส่งออกในปี 2538 เป็นร้อยละ 33.6 ของ GDP ในขณะที่ในปี 2546 เพิ่มเป็นร้อยละ 56.1 ต่อ GDP และปี 2551 ประมาณร้อยละ 67 ของ GDP โลจิสติกส์ปัจจัยสำคัญต่อการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ จากการที่ประเทศไทยยอมรับพันธะกรณีของ WTO และ FTA ทำให้จะต้องมียุทธศาสตร์ทั้งเชิงรับและเชิงรุก ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยการเสริมสร้างให้ภาคการผลิตจะต้องมีต้นทุนที่สามารถปกป้องธุรกิจภายในและสามารถแข่งขันได้ในตลาดของโลก เนื่องจากหากภาคเอกชนมีความเข้มแข็ง ประเทศก็มั่นคง โดยปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและขีดความสามารถการแข่งขันของไทยในอนาคต ดังนั้น ประเทศไทยจะต้องมียุทธศาสตร์การพัฒนาโลจิสติกส์ของชาติ (Strategic Agenda) โดยการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์ในภาคการผลิต ภาคธุรกิจ และภาคเกษตร โดยการพัฒนาธุรกิจผู้ให้บริการโลจิสติกส์ให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีการค้าระหว่างประเทศ และยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการอำนวยความสะดวกทางการค้า รวมถึงการพัฒนากำลังคนและกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ซึ่งทิศทางการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ควรจะประกอบด้วย นโยบายการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เป็นวาระแห่งชาติ นโยบายการเปลี่ยนโหมดขนส่งประหยัดพลังงาน นโยบายสนับสนุนพลังงานทางเลือก แก้ไขระเบียบ-กฎหมายที่เป็นอุปสรรค การประยุกต์โลจิสติกส์ไปสู่การปฏิบัติจริงในภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม การพัฒนาองค์ความรู้โลจิสติกส์ให้กับ SME และธุรกิจในต่างจังหวัดให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ ประเทศไทยจะต้องมีการพัฒนาเครือข่ายโลจิสติกส์ในประเทศให้เชื่อมโยงอย่างบูรณาการ (Chain Network Integration) ทั้งเครือข่ายภายในและการเชื่อมต่อไปสู่ต่างประเทศทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก โดยการพัฒนาระบบการขนส่งเชื่อมโยงหลายรูปแบบ (Intermodal Transport) ระบบการขนส่งสนับสนุน (Feeder) ทางด่วนพิเศษ (Motorway) รวมทั้งศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า ทั้งในหัวเมืองที่สำคัญและจังหวัดที่อยู่ในเส้นทางเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตามภาครัฐจะต้องเร่งสนับสนุนการใช้รูปแบบและวิธีการบริหารจัดการขนส่งเพื่อการประหยัดพลังงาน (Transport Management for Energy Saving) รวมทั้ง การมีแผนแม่บทการใช้พลังงานทางเลือก เช่น การปรับเปลี่ยนการใช้เครื่องยนต์ NGV ซึ่งมีความประหยัดกว่าการใช้น้ำมันดีเซลประมาณร้อยละ 40-50 โดยจะต้องมีแผนแม่บทที่ชัดเจนในการที่จะปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ โดยทั้งภาครัฐ ภาคการเงิน โดยฉพาะ ปตท. จะต้องมีโครงการร่วมมือเงินกู้หรือกองทุนการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ NGV ให้กับภาคขนส่งอย่างน้อยเพิ่มจากสัดส่วนการใช้น้ำมัน NGV จากร้อยละ 5 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 20 ในปี 2555 นอกจากนี้ การสนับสนุนให้มีการใช้ไบโอดีเซล จากระดับ B2 ไปสู่ B20 ให้ได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ การลดต้นทุนโลจิสติกส์ที่ขับเคลื่อนเป็นจริงได้ จะต้องเกิดจากการผลักดันโดยภาคธุรกิจ โดยการลดต้นทุนสินค้าคงคลัง ซึ่งเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 44.14 ของต้นทุนรวมโลจิสติกส์ ซึ่งบริษัทข้ามชาติและประเทศที่พัฒนาแล้ว สัดส่วนสินค้าคงคลังจะอยู่ที่ประมาณไม่เกินร้อยละ 20 โดยทางวิชาการถือว่าสินค้าคงคลังเป็นต้นทุนที่ไม่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งธุรกิจของคนไทยค่าใช้จ่ายหนึ่งในสาม จะไปอยู่ในสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ ภาคธุรกิจจะต้องมีวิธีการบริหารจัดการการขนส่งเที่ยวเปล่าหรือที่เรียกว่า Backhaul ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 46 ของการขนส่งโดยรวม ดังนั้น การลดต้นทุนโลจิสติกส์ของภาคธุรกิจ จำเป็นจะต้องผสมผสานระบบการจัดการ ไม่ว่าจะเป็นระบบ Just in Time Management หรือระบบ Lean Pull Production มาใช้ผสมผสานในกระบวนการผลิตและการส่งมอบสินค้า ซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยโครงข่ายเชื่อมโยงขนส่ง Land Rail - Sea โดยทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องมีนโยบายและแผนการในการเปลี่ยนโหมดการขนส่งให้สามารถผสมผสานทั้งทางถนน ทางน้ำ และทางราง ที่เรียกว่าการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) อย่างไรก็ตาม การพัฒนาโลจิสติกส์ของไทยมีความก้าวหน้าค่อนข้างช้าอยู่ตรงที่ต่างหน่วยงานก็จะมีแผนของตนเอง ไม่มีหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการดูแล ในปัจจุบัน หน่วยงานของรัฐบาลที่ทำหน้าที่ในการดูแลโลจิสติกส์ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งพบว่าแผนงานของหลายหน่วยงานของรัฐไม่มีการเชื่อมโยงกันและบางครั้งก็จะไม่มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งเกิดจากการที่ไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าของเรื่องแม้แต่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ก็เป็นเพียงผู้ประสานงาน โดยแต่ละกระทรวงก็จะทำหน้าที่ในการควบคุมงานด้านโลจิสติกส์แต่ละส่วนแยกกันไป นอกจากนี้ สถานภาพการพัฒนาระบบ โลจิสติกส์ของไทยในปัจจุบัน ไม่มีการบูรณาการเป้าหมายของแผน โดยการปฏิบัติงานของหน่วยงานรัฐบางหน่วยงานมีการซ้ำซ้อนกันหรือแข่งขันกัน จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสถานะของการเมืองและการกดดันผ่านองค์กรต่างๆ ก่อให้เกิดการวางแผนงบประมาณและการใช้งบประมาณที่ขาดทิศทาง การไม่มีนโยบายโลจิสติกส์ที่ชัดเจนและไม่มีกลไกในการผลักดันนโยบาย ทำให้การทำงานของหน่วยงานของรัฐขาดบูรณาการเป็นลักษณะต่างคนต่างทำขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน จึงทำให้ขาดการเชื่อมต่อระบบและโครงสร้างพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ไม่สามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นควรจะเร่งจัดตั้งหน่วยงาน ให้มีหน้าที่เป็นแกนหลักหรือเจ้าภาพเพราะปัจจุบันมีกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์อยู่หลายกระทรวง เช่น ของการพัฒนาโลจิสติกส์ กระทรวงคมนาคม, กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ก็มีแผนงานและงบประมาณในการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ขณะที่การค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านก็มีกระทรวงมหาดไทย , กระทรวงต่างประเทศ , กระทรวงการคลัง เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งยังไม่รวมกระทรวงสาธารณสุข , กระทรวงเกษตร ซึ่งดูแลด้านสุขอนามัยของสินค้าที่มีการนำเข้าส่งออกและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ผลิตบุคลากรโลจิสติกส์ และกระทรวง ICT ซึ่งดูแลระบบเครือข่ายอิเล็คโทรนิกส์ โดยแต่ละกระทรวงไม่มีความบูรณาการของแผนและเป้าหมาย ดังนั้น การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย จำเป็นที่จะต้องมีนโยบายการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ที่เป็นวาระแห่งชาติ รวมถึง การบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบ มีเป้าหมายและตัวชี้วัดที่ชัดเจน หากเป็นเช่นนี้ได้ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ก็คงจะมีความก้าวหน้า...
ไฟล์ประกอบ : TNT-2.pdf อ่าน : 7515 ครั้ง วันที่ : 26/09/2008 |
||||
|