1.    ต้นทุนโลจิสติกส์จะมีการชะลอตัวในอัตราคงที่ โดยในช่วงที่ผ่านปีครึ่งราคาน้ำมันผลักดันให้ต้นทุนขนส่งต่อ GDP สูงขึ้นประมาณร้อยละ 1.33 ส่งให้ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ณ กลางปี 2551 ปรับตัวเป็นร้อยละ 19.53 (ต้นทุนโลจิสติกส์ของ สศช. ปี 2549 อยู่ที่ร้อยละ 18.6 ต่อ GDP) ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงจะส่งผลต่อการชะลอตัวในการปรับขึ้นราคาค่าขนส่งแต่ราคาค่าขนส่งจะไม่ปรับลดลงมากนักเพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการสามารถผลักต้นทุนได้ไม่ถึงครึ่งของราคาค่าน้ำมันที่ขึ้น

2.    ต้นทุนการผลิตจะไม่ปรับลดลง เพราะต้นทุนของวัตถุดิบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จะไม่ปรับราคาลงตามราคาน้ำมันที่ลงโดยเฉพาะอุตสาหกรรมประเภทวัตถุดิบต้นน้ำที่จำเป็น เช่น เหล็ก โพลีเมอร์ เส้นใยสังเคราะห์ อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งที่ผ่านมาปรับราคาสูงขึ้นกว่าร้อยละ 30-40 ในบางอุตสาหกรรมอาจสูงกว่าร้อยละ 80 ภาคอุตสาหกรรมนอกจากได้รับผลกระทบราคาวัตถุดิบ ยังได้รับผลกระทบที่เกิดจากค่าระวางเรือ ซึ่งมีการปรับขึ้นไปถึงร้อยละ 18-25% และต้นทุนขนส่งภายในประเทศ ก็ปรับขึ้นไปโดยเฉลี่ยร้อยละ 16-20 สำหรับเฉพาะค่าแรงมีการปรับไปถึง 12-15%

  1. ภาคเกษตรยังคงได้ราคาในอัตราที่ชะลอตัว เนื่องจากพื้นที่ถูกนำไปใช้ในการทำพืชพลังงาน สินค้าเกษตรโดยเฉลี่ยแล้วมีราคาสูงขึ้นประมาณร้อยละ 80.5% โดยเฉพาะสินค้าประเภทธัญพืช ล้วนแต่มีราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวเจ้า ขึ้นร้อยละ 74 ,ข้าวสาลี ขึ้นร้อยละ 130 ,ข้าวโพด ขึ้นร้อยละ 31 และถั่วเหลือง ขึ้นร้อยละ 87 สินค้าประมงร้อยละ 30 ซึ่งการขึ้นราคาของภาคเกษตรในแง่ที่เป็นบวก ทำให้รายได้ของเกษตรกรสูงขึ้นถึงร้อยละ 62.78 (แต่จะไปอยู่ที่เกษตรกรจริงคงไม่ถึง) อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 ได้อานิสงค์จากการขยายตัวถึงร้อยละ 21.1
  2. สภาวะเงินเฟ้อจะชะลอตัวในอัตราสูง จากแรงกดดันด้านราคาน้ำมัน โดยประมาณว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น 1 บาท มีผลต่อเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 0.387 ทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคม สูงขึ้นถึงร้อยละ 9.2 เป็นอัตราสูงสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศจีน อินเดีย และฟิลิปปินส์ แต่ก็ยังต่ำกว่าเวียดนามที่เงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 25 คาดว่าผลของการที่ราคาน้ำมันลดลงจะทำให้เงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 8.9 (เพราะราคาสินค้าได้ปรับขึ้นไปแล้วก็ยากที่จะลงราคา) หากจะเปรียบเทียบว่าเงินเฟ้อในช่วงนี้รุนแรงมากเพียงใดก็ต้องเปรียบเทียบกับเงินเฟ้อ ในเดือนมิถุนายน 2550 ซึ่งเงินเฟ้อในช่วงนั้นเพียงร้อยละ 1.9 ซึ่งหากเปรียบเงินเฟ้อในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อมีการผันแปรไปตามราคาน้ำมัน ถือเป็น Second Round Effect ที่เกิดจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น จะเห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อมีการผันแปรไปตามราคาน้ำมัน โดยดูได้จากตารางดังนี้

 

เดือน

ราคาน้ำมันเฉลี่ย

(ดีเซล บาท/ลิตร)

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป

ตุลาคม       2550

27.74

2.5%

พฤศจิกายน 2550

28.89

3.0%

ธันวาคม     2550

29.14

3.2%

มกราคม     2551

29.36

4.3%

กุมภาพันธ์  2551

29.44

5.4%

มีนาคม      2551

30.44

5.3%

เมษายน     2551

32.29

6.2%

เดือน

ราคาน้ำมันเฉลี่ย

(ดีเซล บาท/ลิตร)

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป

พฤษภาคม  2551

36.22

7.6%

มิถุนายน    2551

41.22

8.9%

กรกฎาคม 2551

44.24 – 36.29

9.2

สิงหาคม (วันที่ 5)

35.84

8.5-8.8 (ประมาณ)

ที่มา : ธนิต โสรัตน์ 2008

5.    สภาพคล่องของประชาชนและภาคการผลิตจะลดลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรม และ SMEs ซึ่งไม่ได้อยู่ในภาคการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบที่รุนแรง (ภาคการส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี) โดยภูมิคุ้มกันของธุรกิจและเงินออมของประชาชนเท่าที่มีอยู่ใช้ไปเกือบหมดแล้ว โอกาสที่จะเห็นเงินตึงทั้งระบบซึ่งหมายถึงทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ จะเกิดขึ้นในเร็วนี้จะมีค่อนข้างสูง ต้องเข้าใจว่า SMEs มีสัดส่วนอยู่ใน GDP ถึงร้อยละ 30 โดยหลายฝ่ายเริ่มวิตกกับ NPL ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มเห็นในช่วงต้นไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นอกจากนี้ สภาพคล่องของประชาชนส่งผลต่อการลดการจับจ่ายสินค้าส่งผลต่อการลดอุปสงค์ของภาคประชาชน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากสภาวะเงินตึง จะเป็นปัจจัยที่รายได้ของลูกจ้างในสถานประกอบการ จะมีการลดลง ซึ่งเกิดจากการลดปริมาณการผลิต

6.    การลงทุนและความชื่อมั่นการบริโภค ยังคงชะลอตัว ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองเป็นปัจจัยหนุน ลดความเชื่อมั่น จากประเด็นความวุ่นวายทางการเมือง  เป็นปัจจัยที่ภาคธุรกิจมีความกังวล ทั้งด้านการถอดถอนรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี รวมถึง การยุบพรรคการเมืองซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล จะทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง และเกิดการชงักงันในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ในช่วงรอความชัดเจนของการยุบพรรคการเมือง ว่าจะยุบหรือไม่ยุบ โดยต้องใช้เวลาอย่างน้อย 90 วัน และหากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ หรือมีการยุบสภาก็คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ ซึ่งในช่วงเวลา 3-4 เดือนจากนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ภาคการเมืองจะต้องเข้ามาชี้นำในการแก้ปัญหา

            จากความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 51 อยู่ที่ระดับ 71 และเดือนมิถุนายน ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ที่ 73.6 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบหลายปี รวมทั้งความเชื่อมั่น ของผู้ประกอบการในต่างจังหวัดก็ลดลง โดยเฉลี่ย 5% โดยเฉพาะภาคเหนือจะเกี่ยวข้องกับด้านการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุดถึงร้อยละ 9.52 ซึ่งปัญหาทางการเมืองเป็นส่วนสำคัญต่อความเชื่อมั่นในด้านการลงทุน การใช้จ่าย และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในตลาดหุ้น

7.    ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคเงินบาทที่อ่อนค่า โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือน เงินบาทไทยอ่อนค่าไปถึงร้อยละ 7.69 ทางด้านการส่งออกอาจจะได้รับอานิสงค์ โดยที่ในช่วงครึ่งปีแรกสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 21.1 อย่างไรก็ดี จากการประเมินของภาควิชาการเห็นว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง อาจจะเหลือเพียงร้อยละ 15-16 ซึ่งต้องเข้าใจว่า ปัจจุบันสัดส่วนการนำเข้าของไทยสูงกว่าการส่งออก กว่าร้อยละ 20 คือมูลค่าการส่งออกในปีนี้คาดว่าจะเป็น 178,252 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยขยายตัวทั้งปีประมาณร้อยละ 17 ส่วนการนำเข้าประมาณ 182,159 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เฉลี่ยนำเข้าทั้งปีขยายตัวร้อยละ 30 โดยมูลค่าการนำเข้าน้ำมันเป็นสัดส่วนอยู่ถึงร้อยละ 20 ทั้งนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าทุก 2 บาท ส่งผลต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้นประมาณร้อยละ 6-8 จำเป็นที่จะต้องมีการรักษาเสถียรภาพเงินบาทของไทย ไม่ให้แข็งค่าเกิน 34 บาทต่อ USD ซึ่งปัจจุบันเงินบาทของไทยอ่อนค่า ไปที่ 33.53 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ

 

" />
       
 

ราคาน้ำมันที่ลดลงมีผลกระทบอย่างไรต่อภาคเศรษฐกิจ? Share


1.    ต้นทุนโลจิสติกส์จะมีการชะลอตัวในอัตราคงที่ โดยในช่วงที่ผ่านปีครึ่งราคาน้ำมันผลักดันให้ต้นทุนขนส่งต่อ GDP สูงขึ้นประมาณร้อยละ 1.33 ส่งให้ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อ GDP ณ กลางปี 2551 ปรับตัวเป็นร้อยละ 19.53 (ต้นทุนโลจิสติกส์ของ สศช. ปี 2549 อยู่ที่ร้อยละ 18.6 ต่อ GDP) ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงจะส่งผลต่อการชะลอตัวในการปรับขึ้นราคาค่าขนส่งแต่ราคาค่าขนส่งจะไม่ปรับลดลงมากนักเพราะที่ผ่านมาผู้ประกอบการสามารถผลักต้นทุนได้ไม่ถึงครึ่งของราคาค่าน้ำมันที่ขึ้น

2.    ต้นทุนการผลิตจะไม่ปรับลดลง เพราะต้นทุนของวัตถุดิบ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จะไม่ปรับราคาลงตามราคาน้ำมันที่ลงโดยเฉพาะอุตสาหกรรมประเภทวัตถุดิบต้นน้ำที่จำเป็น เช่น เหล็ก โพลีเมอร์ เส้นใยสังเคราะห์ อุตสาหกรรมกระดาษ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งที่ผ่านมาปรับราคาสูงขึ้นกว่าร้อยละ 30-40 ในบางอุตสาหกรรมอาจสูงกว่าร้อยละ 80 ภาคอุตสาหกรรมนอกจากได้รับผลกระทบราคาวัตถุดิบ ยังได้รับผลกระทบที่เกิดจากค่าระวางเรือ ซึ่งมีการปรับขึ้นไปถึงร้อยละ 18-25% และต้นทุนขนส่งภายในประเทศ ก็ปรับขึ้นไปโดยเฉลี่ยร้อยละ 16-20 สำหรับเฉพาะค่าแรงมีการปรับไปถึง 12-15%

  1. ภาคเกษตรยังคงได้ราคาในอัตราที่ชะลอตัว เนื่องจากพื้นที่ถูกนำไปใช้ในการทำพืชพลังงาน สินค้าเกษตรโดยเฉลี่ยแล้วมีราคาสูงขึ้นประมาณร้อยละ 80.5% โดยเฉพาะสินค้าประเภทธัญพืช ล้วนแต่มีราคาสูงขึ้น เช่น ข้าวเจ้า ขึ้นร้อยละ 74 ,ข้าวสาลี ขึ้นร้อยละ 130 ,ข้าวโพด ขึ้นร้อยละ 31 และถั่วเหลือง ขึ้นร้อยละ 87 สินค้าประมงร้อยละ 30 ซึ่งการขึ้นราคาของภาคเกษตรในแง่ที่เป็นบวก ทำให้รายได้ของเกษตรกรสูงขึ้นถึงร้อยละ 62.78 (แต่จะไปอยู่ที่เกษตรกรจริงคงไม่ถึง) อย่างไรก็ตาม ภาคอุตสาหกรรมส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2550 ได้อานิสงค์จากการขยายตัวถึงร้อยละ 21.1
  2. สภาวะเงินเฟ้อจะชะลอตัวในอัตราสูง จากแรงกดดันด้านราคาน้ำมัน โดยประมาณว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น 1 บาท มีผลต่อเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 0.387 ทำให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคม สูงขึ้นถึงร้อยละ 9.2 เป็นอัตราสูงสุดในรอบ 10 ปี ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศจีน อินเดีย และฟิลิปปินส์ แต่ก็ยังต่ำกว่าเวียดนามที่เงินเฟ้อสูงถึงร้อยละ 25 คาดว่าผลของการที่ราคาน้ำมันลดลงจะทำให้เงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 8.9 (เพราะราคาสินค้าได้ปรับขึ้นไปแล้วก็ยากที่จะลงราคา) หากจะเปรียบเทียบว่าเงินเฟ้อในช่วงนี้รุนแรงมากเพียงใดก็ต้องเปรียบเทียบกับเงินเฟ้อ ในเดือนมิถุนายน 2550 ซึ่งเงินเฟ้อในช่วงนั้นเพียงร้อยละ 1.9 ซึ่งหากเปรียบเงินเฟ้อในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อมีการผันแปรไปตามราคาน้ำมัน ถือเป็น Second Round Effect ที่เกิดจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น จะเห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อมีการผันแปรไปตามราคาน้ำมัน โดยดูได้จากตารางดังนี้

 

เดือน

ราคาน้ำมันเฉลี่ย

(ดีเซล บาท/ลิตร)

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป

ตุลาคม       2550

27.74

2.5%

พฤศจิกายน 2550

28.89

3.0%

ธันวาคม     2550

29.14

3.2%

มกราคม     2551

29.36

4.3%

กุมภาพันธ์  2551

29.44

5.4%

มีนาคม      2551

30.44

5.3%

เมษายน     2551

32.29

6.2%

เดือน

ราคาน้ำมันเฉลี่ย

(ดีเซล บาท/ลิตร)

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป

พฤษภาคม  2551

36.22

7.6%

มิถุนายน    2551

41.22

8.9%

กรกฎาคม 2551

44.24 – 36.29

9.2

สิงหาคม (วันที่ 5)

35.84

8.5-8.8 (ประมาณ)

ที่มา : ธนิต โสรัตน์ 2008

5.    สภาพคล่องของประชาชนและภาคการผลิตจะลดลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรม และ SMEs ซึ่งไม่ได้อยู่ในภาคการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบที่รุนแรง (ภาคการส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี) โดยภูมิคุ้มกันของธุรกิจและเงินออมของประชาชนเท่าที่มีอยู่ใช้ไปเกือบหมดแล้ว โอกาสที่จะเห็นเงินตึงทั้งระบบซึ่งหมายถึงทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ จะเกิดขึ้นในเร็วนี้จะมีค่อนข้างสูง ต้องเข้าใจว่า SMEs มีสัดส่วนอยู่ใน GDP ถึงร้อยละ 30 โดยหลายฝ่ายเริ่มวิตกกับ NPL ซึ่งคาดว่าน่าจะเริ่มเห็นในช่วงต้นไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ นอกจากนี้ สภาพคล่องของประชาชนส่งผลต่อการลดการจับจ่ายสินค้าส่งผลต่อการลดอุปสงค์ของภาคประชาชน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากสภาวะเงินตึง จะเป็นปัจจัยที่รายได้ของลูกจ้างในสถานประกอบการ จะมีการลดลง ซึ่งเกิดจากการลดปริมาณการผลิต

6.    การลงทุนและความชื่อมั่นการบริโภค ยังคงชะลอตัว ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาสถานการณ์ทางการเมืองเป็นปัจจัยหนุน ลดความเชื่อมั่น จากประเด็นความวุ่นวายทางการเมือง  เป็นปัจจัยที่ภาคธุรกิจมีความกังวล ทั้งด้านการถอดถอนรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี รวมถึง การยุบพรรคการเมืองซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล จะทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง และเกิดการชงักงันในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ในช่วงรอความชัดเจนของการยุบพรรคการเมือง ว่าจะยุบหรือไม่ยุบ โดยต้องใช้เวลาอย่างน้อย 90 วัน และหากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ หรือมีการยุบสภาก็คงต้องใช้เวลามากกว่านี้ ซึ่งในช่วงเวลา 3-4 เดือนจากนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ภาคการเมืองจะต้องเข้ามาชี้นำในการแก้ปัญหา

            จากความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 51 อยู่ที่ระดับ 71 และเดือนมิถุนายน ดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมกระเตื้องขึ้นมาเล็กน้อยอยู่ที่ 73.6 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบหลายปี รวมทั้งความเชื่อมั่น ของผู้ประกอบการในต่างจังหวัดก็ลดลง โดยเฉลี่ย 5% โดยเฉพาะภาคเหนือจะเกี่ยวข้องกับด้านการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมากที่สุดถึงร้อยละ 9.52 ซึ่งปัญหาทางการเมืองเป็นส่วนสำคัญต่อความเชื่อมั่นในด้านการลงทุน การใช้จ่าย และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในตลาดหุ้น

7.    ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคเงินบาทที่อ่อนค่า โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือน เงินบาทไทยอ่อนค่าไปถึงร้อยละ 7.69 ทางด้านการส่งออกอาจจะได้รับอานิสงค์ โดยที่ในช่วงครึ่งปีแรกสามารถขยายตัวได้ถึงร้อยละ 21.1 อย่างไรก็ดี จากการประเมินของภาควิชาการเห็นว่าการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง อาจจะเหลือเพียงร้อยละ 15-16 ซึ่งต้องเข้าใจว่า ปัจจุบันสัดส่วนการนำเข้าของไทยสูงกว่าการส่งออก กว่าร้อยละ 20 คือมูลค่าการส่งออกในปีนี้คาดว่าจะเป็น 178,252 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยขยายตัวทั้งปีประมาณร้อยละ 17 ส่วนการนำเข้าประมาณ 182,159 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เฉลี่ยนำเข้าทั้งปีขยายตัวร้อยละ 30 โดยมูลค่าการนำเข้าน้ำมันเป็นสัดส่วนอยู่ถึงร้อยละ 20 ทั้งนี้ เงินบาทที่อ่อนค่าทุก 2 บาท ส่งผลต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้นประมาณร้อยละ 6-8 จำเป็นที่จะต้องมีการรักษาเสถียรภาพเงินบาทของไทย ไม่ให้แข็งค่าเกิน 34 บาทต่อ USD ซึ่งปัจจุบันเงินบาทของไทยอ่อนค่า ไปที่ 33.53 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ

 


ไฟล์ประกอบ : 177_TNT2.pdf
อ่าน : 2387 ครั้ง
วันที่ : 08/08/2008

Contact : V-SERVE GROUP 709/54-55 ถ.สุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง  กทม. 10250 โทรศัพท์. 0 2332 3940-9 โทรสาร. 0 2332 0754
E-mail: tanit@v-servegroup.com