|
||||
|
||||
วิเคราะห์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม 2550 Shareวิเคราะห์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม 2550 โดยธนิต โสรัตน์ / ประธานกรรมการ V-SERVE GROUP เศรษฐกิจไทย 5 เดือนแรกของปี 2550 สภาวะเศรษฐกิจไทยในภาพรวมของระยะเวลาเกือบครึ่งปีแรก มีลักษณะของทวิลักษณ์ คือ ภาคการส่งออกยังสามารถขยายตัวได้โดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 18.2 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันภาคการบริโภคภายในประเทศมีลักษณะการชะลอตัวลง โดยสินค้าอุปโภค บริโภค มียอดขายลดลงประมาณร้อยละ 8-9 และสินค้าอุตสาหกรรมมียอดขายและคำสั่งซื้อลดลง โดยทั่วไปภาคการส่งออกของไทยอยู่ใน GDP กว่าร้อยละ 67 เมื่อการส่งออกขยายตัวก็น่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตัวเลขการผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่ควรจะเพิ่มมากขึ้น แต่ในทางกลับกันตัวเลขการนำเข้าวัตถุดิบกลับมีปริมาณขยายตัวเพียงร้อยละ 2 อีกทั้ง ตัวเลขการบริโภคของภาคประชาชนกลับมีการหดตัว ทำให้สภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไปของประเทศไทยมีลักษณะชะลอตัว ลักษณะเศรษฐกิจของไทยในช่วงเวลานี้ค่อนข้างสับสนเป็นเรื่องของการขาดความเชื่อมั่น ซึ่งแก้ไขได้ยากกว่าปกติ เพราะเป็นเรื่องของความรู้สึก โดยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจหรือ GDP ในช่วง 4-5 เดือนของปี 2550 น่าจะขยายตัวได้ไม่เกินร้อยละ 4 และมีโอกาสสูงที่จะขยายตัวได้ร้อยละ 3.5 หรือต่ำกว่านี้โดยภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงเดือนที่ผ่านมา มีดังนี้ ภาคการบริโภคภายในและเศรษฐกิจมีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาแนวโน้มการบริโภคของประชาชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน โดยยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวในไตรมาสที่ 1 เพียงร้อยละ 2-3 โดยเหตุผลสำคัญก็เกิดจากประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจต่อสถานการณ์ภายในประเทศ โดยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายน สำรวจโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่หกติดต่อกัน มาอยู่ที่ระดับ 77.6 และดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนมีนาคม รายงานโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ดัชนีมีการลดร้อยละ 1.4 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ ธปท. มีการปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 78.5 จากระดับ 83.0 ในไตรมาสแรกของปี ดัชนีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการขาดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนำไปสู่การลดลงของการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคการเมือง อีกทั้ง ประชาชนไม่มั่นใจว่าจะมีการเลือกตั้งตามระยะเวลาที่รัฐบาลกำหนดไว้หรือไม่ และสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง (ถ้ามี) พรรคการเมืองใดจะเข้ามาครอบครองอำนาจรัฐ ซึ่งประชาชนหวั่นวิตกต่อสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่จะเกิดขึ้น ทั้งกรณีที่การเลือกตั้งล่าช้า และภายหลังการเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลที่ได้มาอาจจะไม่เป็นที่พอใจของประชาชน ด้านการลงทุนมีการชะลอตัว การลงทุนของประเทศยังมีลักษณะชะลอตัว โดยการลงทุนของภาคเอกชนในเดือนมีนาคม หดตัวร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันกับปีก่อน โดยในไตรมาสแรกสินค้าทุนและเครื่องจักรมีการนำเข้าลดลงประมาณร้อยละ 9.2 ซึ่งสอดคล้องกับการใช้อัตรากำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคมอยู่ที่ร้อยละ 80.1 การลงทุนในภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศยังไม่ชัดเจน ซึ่งเหตุผลสำคัญก็เกิดจากความไม่มั่นใจในสถานะทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ผลจากการลงนามในข้อตกลง FTA ไทย-ญี่ปุ่น หรือ JTEPA ก็น่าจะส่งผลต่อการลงทุนของญี่ปุ่นในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตไปสู่ตลาดในภูมิภาคอาเซียน แต่การลงทุนก็น่าจะเป็นในช่วงหลังการเลือกตั้ง ก็คงภายในปีหน้า ดังนั้น การลงทุนในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจึงมาจากภาครัฐ ซึ่งมีการเตรียมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ต่างๆ โดยปัจจัยบวกเพื่อให้เกิดการลงทุนจะมาจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงก็น่าจะเป็นแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนจากภาคเอกชน แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยความเชื่อมั่น เพราะดอกเบี้ยเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัจจัยการผลิต หากการบริโภคที่ชะลอตัวลง และปัจจัยความเชื่อมั่นที่ภาครัฐยังไม่สามารถนำกลับคืนมา การลงทุนในช่วงนี้คงอยู่ในลักษณะของโปรเจกต์มากกว่าที่จะเห็นเม็ดเงินจริง ปัจจัยจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ต่ำ การวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้จะต้องให้ความสนใจไปที่ปัจจัยเงินเฟ้อ ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกของประเทศไทย เนื่องจากการที่ ธปท. สามารถลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 5 ในช่วงต้นปี 2550 ลงมาเหลือ 3.50 ในช่วงเดือนพฤษภาคม ก็เกิดจากปัจจัยเงินเฟ้อของประเทศที่ค่อนข้างต่ำ ทำให้ กนง. สามารถใช้มาตรการทางการเงิน โดยการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI Inflation) ของประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ทำให้ Real Interest ของไทยยังเป็นบวกที่ร้อยละ 1.5 ซึ่งหากสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้คงที่ในลักษณะเช่นนี้ก็จะส่งผลให้ ธปท. ยังสามารถใช้ช่องว่างของ Real Interest ในการที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงได้อีกอย่างน้อยร้อยละ 0.25 หรือร้อยละ 0.25-0.50 อย่างไรก็ดี ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการส่งสัญญาณว่าดอกเบี้ยที่ลดลงไปแล้ว น่าจะเป็นอัตราที่เหมาะสม โดยคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทยทั้งปี อย่างมากก็ไม่น่าจะสูงเกินกว่าร้อยละ 2.5 อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อของไทยก็อาจมีการพุ่งขึ้นสูงกว่านี้ หากราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวสูงจากค่าเฉลี่ยทั้งปีที่ประมาณ 66.5 ดอลล่าร์สหรัฐฯ/บาเรล การแข็งค่าของเงินบาท สถานการณ์แข็งค่าของเงินบาทยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการปรับตัวอ่อนค่าลงของเงินดอลล่าร์ยังคงมีการต่อเนื่อง บวกกับการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น อังกฤษ และยูโร โดยเฉพาะธนาคารกลางจีนได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยพร้อมทั้งขยายแถบแกว่งค่าเงินหยวนให้เคลื่อนไหวในแต่ละวันจากร้อยละ +0.30 เป็นร้อยละ +0.5% โดยมีเป้าหมายใหญ่ เพื่อลดอุณหภูมิการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังร้อนแรงอยู่ที่ระดับ 11.1% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณว่าเงินหยวนจะมีการปรับค่าให้แข็งขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการแข็งค่าของเงินในสกุลต่างๆ ซึ่งปัจจุบันเงินบาทของไทยเกือบจะมีการแข็งค่าเกือบมากที่สุดในรอบ 10 ปี คือในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม โดยเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 34.5 34.6 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งลักษณะการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้จะเป็นลักษณะที่แข็งค่าทั้งภูมิภาค เช่น เปโซ/ฟิลิปปินส์แข็งค่า 5.3% ,บาท/ไทย 4.7% , ริงกิต/มาเลเซีย 3.61%, รูเปีย / อินโดนีเซีย 1.9% , ดอลล่าร์ / สิงคโปร์ 0.6% , รูปี / อินเดีย 9.5 และเยน/ญี่ปุ่น -1.7% ซึ่งจะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่าจะยังคงมีมาตรการสำรอง 30% และ Full HEDGING ป้องกันความเสี่ยงเต็มจำนวน ค่าเงินบาทของไทยก็ยังคงมีความแข็งค่าเกือบสูงสุดในภูมิภาคเป็นรองเฉพาะฟิลิปปินส์ ซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อสูงมาก การส่งออกของไทยในไตรมาสแรกขยายได้ดีมาก การส่งออกในขณะนี้ถือเป็นปัจจัยหลักในการที่ค้ำยันเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากการส่งออกที่ผ่านมาสามารถขยายตัวได้ดีในระดับ 18% อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของการส่งออกดังกล่าวตั้งมั่นอยู่บนความไม่มั่นคง เนื่องจากการขยายตัวของการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ส่วนหนึ่งเกิดจากการรับออเดอร์ล่วงหน้า 3-6 เดือน การวิเคราะห์สถานการณ์ส่งออกจากนี้ไป จึงต้องมองในระยะหลังไตรมาสที่ 2 เพราะหากเงินบาทยังมีการแข็งค่าก็จะทำให้ส่งผลต่อการควบคุมต้นทุนได้ลำบาก โดยอุตสาหกรรมบางประเภท อาจขยายตัวได้เพียง 3-5% หรือติดลบ โดยออเดอร์ในช่วงไตรมาสที่ 2 เริ่มชะลอตัวลง ซึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ เช่น อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม , อุตสาหกรรมพลาสติก , อุตสาหกรรมผลิตรองเท้า , อุตสาหกรรมอาหารบางประเภท, อุตสาหกรรมแปรรูปทางการเกษตร และอุตสาหกรรมที่มี Local Content สูง ส่วนอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ดี ก็จะเป็นอุตสาหกรรมส่งออกยานยนต์ , อุตสาหกรรมกุ้งแช่แข็ง (ตลาดญี่ปุ่น) , อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะขยายตัวได้มากกว่าร้อยละ 15 ,อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง , อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ซึ่งภาครัฐกับภาคเอกชนในมุมมองนี้ยังมีความแตกต่างกัน โดยรัฐเห็นว่าเงินบาทไม่มีผลต่อการส่งออก ขณะที่ภาคเอกชนยอมขยายการส่งออกทั้งที่ขาดทุนเพื่อรักษาฐานลูกค้า จึงขึ้นอยู่กับความสามารถของ ธปท. ในการที่จะรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทไม่ให้แกว่งตัว และหรือแข็งค่ามากกว่าประเทศคู่แข่ง เพื่อให้เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกของประเทศ ปัจจัยที่จะส่งผลต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทย น่าจะเห็นผลดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องสร้างความเชื่อมั่นและดำเนินมาตรการต่างๆในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมาตรการที่จะทำให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวและขยายตัวได้ น่าจะประกอบด้วยปัจจัยดังต่อไปนี้
หมายเหตุ ข้อความในเอกสารนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันใดๆ การเชื่อถือขอให้อยู่ในดุลยพินิจ ไฟล์ประกอบ : ไม่มีไฟล์ อ่าน : 2605 ครั้ง วันที่ : 30/05/2007 |
||||
|